การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศศรีลังกา
พระพุทธศาสนา ได้เผยแพร่จากอินเดียสู่ลังกา เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๖ ในคราวที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๓ ในอินเดีย และได้ส่งพระเถระผู้รอบรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่าง ๆรวม ๙ สายด้วยกัน ใน ๙ สายนั้น สายหนึ่งได้มายังเกาะของชาวสิงหล ได้แก่ประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน โดยการนำของพระมหินทเถระ ในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ซึ่งเป็นกษัตริย์ของลังกาและเป็นพระสหายของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ทั้งสองพระองค์ยังไม่เคยพบกัน พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้อุทิศมหาเมฆวันอุทยานเป็นวัด เรียกว่า " วัดมหาวิหาร " ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธศาสนาเข้าสู่ลังกาในยุคนี้ เป็นพุทธศาสนาแบบเถรวาท พระมหินทเถระได้นำเอาพระไตรปิฎกและอรรถกถาไปสู่ลังกาด้วย การเดินทางไปสู่ลังกาของพระมหินทเถระในครั้งนั้น นอกจากเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ยังถือว่าเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมของชาวลังกา เพราะท่านมิเพียงแต่นำเอาพระพุทธศาสนาไปเท่านั้น ท่านยังได้นำเอาอารยธรรม ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม เข้าไปด้วย
ลำดับต่อมา พระนางอนุฬาเทวีมเหสีและสตรีบริวารจำนวนมาก ปรารถนาจะอุปสมบทบ้าง พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะจึงทรงส่งคณะทูตไปสู่ราชสำนักของพระเจ้าอโศก ทูลขอพระสังฆมิตตาเถรี และกิ่งพระศรีมหาโพธิ์ ด้านทักษิณมาสู่ลังกาทวีป และพระนางสังฆมิตตาเถรีเป็นอุปัชญาย์บรรพชาอุสมบทแก่สตรีชาวลังกาได้ตั้งคณะภิกษุณีขึ้นในลังกา
เมื่อ พ.ศ. ๔๐๐ เศษ รัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามนีอภัย ได้มีพวกทมิฬเข้ามาตีและเข้าครองอนุราธปุระเป็นเวลา ๑๔ ปี จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังค์ เสด็จลี้ภัยไปซ่องสุมกำลัง ระหว่างนั้นทรงได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหาติสสะ ต่อมากลับมาครองราชอีกครั้ง ได้ทรงให้ทำการสังคายนา และได้ทำการจารึกพระพุทธพจน์ลงในใบลานเป็นครั้งแรก ได้อุปถัมภ์พระมหาติสสะ พร้อมได้สร้างวัดถวาย คือวัด อภัยคีรีวิหาร จนทำให้พระภิกษุชาวมหาวิหารไม่พอใจ จนเป็นเหตุให้คณะสงฆ์แตกออกเป็น ๒ คณะ คือ คณะมหาวิหาร กับคณะอภัยคีรีวิหาร
ตั้งแต่นั้นมาคณะสงฆ์ลังกาได้แตกออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ แต่ยังเป็นนิกายเถรวาท มีลักษณะต่างกันคือ
คณะมหาวิหาร ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระธรรมวินัยใด ๆ และยังตำหนิรังเกียจภิกษุต่างนิกายว่าเป็นอลัชชี
คณะอภัยคีรีวิหาร เป็นคณะที่เปิดกว้าง ยอมรับเอาความคิดเห็นต่างนิกาย ไม่รังเกียจภิกษุต่างนิกาย
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึง ๑๗ เป็นยุคที่ลังกาเดือดร้อนวุ่นวายเพราะการรุกรานจากอินเดียบ้าง ความไม่สงบภายในบ้าง ในระหว่างยุคนี้เองที่ภิกษุณีสงฆ์สูญสิ้น และพระภิกษุสงฆ์เสื่อม จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ ทรงมีพระราชประสงค์จะฟื้นฟูศาสนาในปี พ.ศ. ๑๖๐๙ ทรงหาพระภิกษุที่อุปสมบทถูกต้องแทบไม่ครบ ๕ รูป และต้องทรงอาราธนาพระสงฆ์จากพม่าตอนใต้มากระทำอุปสมบทกรรมในลังกา
เมื่อ พ.ศ. ๑๖๙๗ - ๑๗๓๐ พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ (เป็นพระโอรสของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ ) ทรงเป็นมหาราชที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งของลังกา ทรงปกครองบ้านเมืองได้สงบเรียบร้อย ในด้านการพระศาสนาทรงชำระการพระศาสนาให้บริสุทธิ์ ยังคณะสงฆ์ให้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีกครั้งหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ปกครองสงฆ์ทั้งประเทศเป็นครั้งแรก ทรงสร้างวัดวาอาราม เป็นยุคที่มีศิลปกรรมงดงาม และลังการได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา ปรากฏเกียรติคุณแพร่ไปทั่ว มีพระสงฆ์และนักปราชญ์เดินทางจากประเทศใกล้เคียง เพื่อมาศึกษาพระพุทธศาสนาในลังกา แล้วนำไปเผยแพร่ในประเทศของตนเป็นอันมาก พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่ง แต่ภายหลังรัชกาลนี้แล้วพวกทมิฬจากอินเดียก็มารุกรานอีกและได้เข้าตั้งถิ่นฐานมั่นคงขยายอาณาเขตออกไปเรื่อย ๆ อาณาจักรสิงหลต้องถอยร่นทางใต้ ต้องย้ายเมืองหลวงอยู่บ่อย ๆ ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญได้ยาก นอกจากจะเพียงธำรงรักษาความมั่นคงเข้มแข็งไว้เท่านั้นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่ง คือ ใน พ.ศ. ๒๐๑๙ พระภิกษุคณะหนึ่งจากพม่า ได้มารับการอุปสมบทกรรมที่ลังกาและนำคัมภีร์ภาษาบาลีเท่าที่มีอยู่ไปยังพม่าโดยครบถ้วน
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๕๐ ชนชาติโปรตุเกสได้เข้ามาค้าขาย และถือโอกาสรุกรานชาวสิงหลขณะที่กำลังอยู่ในความวุ่นวาย พวกโปรตุเกสก็ได้ดินแดนบางส่วนไว้ครอบครอง และพยายามบีบบังคับประชาชนที่อยู่ใต้ปกครองให้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก คราวหนึ่งถึงกับยึดอำนาจกษัตริย์ได้ ทำให้พุทธศาสนากลับเสื่อมถอยลง จนถึงกับนิมนต์พระสงฆ์จากประเทศพม่ามาให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกา
ต่อมาชาวฮอลันดาได้เข้ามาค้าขายในลังกาและได้ช่วยชาวลังกาขับไล่พวกโปรตุเกสได้ในปี พ.ศ. ๒๒๐๐ แล้วฮอลันดาก็เข้ายึดครองพื้นที่ที่ยึดได้ และนำเอาคริสตศาสนามาเผยแพร่ พยายามกีดกันพระพุทธศาสนา แต่ไม่สำเร็จ
สถานการณ์พุทธศาสนาในขณะนั้นย่ำแย่ลงมาก เนื่องจากเกิดการแก่งแย่งกันแล้ว พุทธศาสนาก็ถูกกดขี่จากพวกโปรตุเกสและฮอลันดา ประชาชนไม่น้อยก็ไปเข้ารีตกับศาสนาคริสต์ พวกชาวพุทธในใจกลางเกาะมัวแต่รบราฆ่าฟันกัน พุทธศาสนาก็ขาดผู้อุปถัมภ์และยังเกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพงอย่างรุนแรง จนพระภิกษุสงฆ์ต้องทิ้งวัดวาอาราม จนไม่มีพระภิกษุหลงเหลืออยู่เลย คงมีสามเณรเหลืออยู่บ้าง โดยมีสามเณรสรณังกรเป็นหัวหน้า
เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๔ ( พ.ศ. ๒๒๙๓ ตามการนับแบบไทย ) สามเณรผู้ใหญ่ชื่อสามเณรสรณังกรได้ทูลขอให้พระเจ้ากิตติราชสิงหะ กษัตริย์ลังกาในขณะนั้น ให้ส่งทูตมาขอนิมนต์พระสงฆ์จากเมืองไทย (อยุธยา) ไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ณ ลังกาทวีป สมัยนั้นตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบรมโกศจึงได้ส่งพระสมณทูตไทยจำนวน ๑๐ รูป มีพระอุบาลีเป็นหัวหน้า เดินทางมาประเทศลังกา มาทำการบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกาถึงสามพันคน ณ เมืองแคนดี สามเณรสรณังกรซึ่งได้รับการอุปสมบทในครั้งนี้ ได้รับการสถาปนาจากกษัตริย์ลังกาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช จึงได้เกิดคณะสงฆ์นิกายสยามวงศ์ หรืออุบาลีวงศ์ขึ้นในลังกา ต่อมาพระอุบาลีเถระเกิดอาพาธและได้มรณภาพในลังกาในเวลาต่อมา
ในสมัยเดียวกันนั้นได้มีสามเณรคณะหนึ่งเดินทางไปขอรับการอุปสมบทในประเทศพม่า แล้วกลับมาตั้งนิกาย "อมรปุรนิกาย" ขึ้น อีกคณะหนึ่งได้เดินทางไปขออุปสมบทจากคณะสงฆ์เมืองมอญ กลับมาตั้งนิกาย "รามัญนิกาย" ขึ้น ในสมัยนี้ได้มีนิกายเกิดขึ้นในลังกา ๓ นิกาย คือ ๑. นิกายสยามวงศ์ หรือลังกาวงศ์ ๒. นิกายอมรปุรนิกาย ๓. นิกายรามัญ นิกายทั้ง ๓ นี้ ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๐ และอีก ๑๙ ปีต่อมา อังกฤษได้ครองอำนาจแทนฮอลันดา ขยายอำนาจไปทั่วประเทศลังกา โดยรบชนะกษัตริย์แคนดี ได้ตกลงทำสนธิสัญญารับประกันสิทธิของฝ่ายลังกาและการคุ้มครองพระศาสนา ครั้นต่อมาได้เกิดกบฏขึ้น เมื่อปราบกบฏได้สำเร็จ อังกฤษได้ดัดแปลงสนธิสัญญาเสียใหม่ ระบบกษัตริย์ลังกาจึงได้สูญสิ้นตั้งแต่บัดนั้น
ตั้งแต่อังกฤษเข้ามาปกครองลังกาตอนต้น พระพุทธศาสนาได้รับความเป็นอิสระมากขึ้น ด้วยสนธิสัญญาดังกล่าว ครั้นต่อมาภายหลังจากการปกครองของอังกฤษประมาณ ๕๐ ปี พระพุทธศาสนาก็ถูกกีดกันและต่อต้านจากศาสนาคริสต์ รัฐถูกบีบจากศาสนาคริสต์ให้ยกเลิกสัญญาที่คุ้มครองพุทธศาสนา บาทหลวงของคริสต์ได้เผยแผ่คริสตศาสนาของตน และโจมตีพุทธศาสนาอย่างรุนแรง โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ นับตั้งแต่อังกฤษเข้าปกครองลังกามาเป็นเวลากว่า ๓๐๐ ปี จนได้รับอิสระภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑
จากการที่พุทธศาสนาถูกรุกรานเป็นเวลาช้านานจากศาสนาคริสต์ ทำให้ชาวลังกามีความมุ่งมานะที่จะฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกาอย่างจริงจัง จนปัจจุบันประเทศศรีลังกา ได้เป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
ความสำคัญและอิทธิพลของพุทธศาสนาต่อสังคมลังกา
๑. ความสำคัญของพุทธศาสนาที่รองรับโดยกฎหมายของรัฐ
ความสำคัญของพระพุทธศาสนาได้รับรองโดยกฎหมายของรัฐมีอยู่สูงมาก ดังปรากฏในกฎหมายสิงหลโบราณว่า "ผู้ทำลายเจดีย์และต้นโพธิ์ กับผู้ที่ปล้นสะดมทรัพย์ของศาสนามีโทษถึงตาย" กฎหมายนี้ใช้บังคับชาวศรีลังกาทุกระดับชั้น รวมทั้งคนต่างชาติด้วย และคงมีการบังคับใช้มานานแล้ว ตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าเอลระ ซึ่งเป็นชาวทมิฬ ในพุทธศตวรรษที่ ๕
๒. ความสำคัญต่อสังคมและวัฒนธรรม
วิถีชีวิตของผู้คนในสังคม ระบบวรรณะในสังคมลังกาได้ถูกลดความสำคัญลง แม้ว่าวิถีชีวิตของชาวลังกาในช่วงเริ่มต้นสมัยประวัติศาสตร์ จนถึงช่วงก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาประดิษฐาน ระบบวรรณะได้ลดความเข้มข้นลงด้วยอิทธิพลคำสอนทางพุทธศาสนา นอกจากนั้นยังมีอิทธิพลด้านอื่น ๆ อีก เช่น ชื่อของบุคคลต่าง ๆ ได้มีการนำเอาชื่อทางพุทธศาสนามาตั้งเป็นชื่อของบุคคล นับตั้งแต่กษัตริย์ ราชวงศ์ จนถึงประชาชนทั่วไป เช่น พระเจ้าพุทธทาสะ พระเจ้าสังฆติสสะ พระเจ้าโมคคัลลานะ พระเจ้ากัสปะ พระเจ้า มหินทะ เป็นต้น จะปรากฏเห็นว่ามีชื่อของบุคคลสำคัญทางพุทธศาสนา ปรากฏเป็นพระนามของกษัตริย์ลังกาหลายพระองค์
การกำหนดเอาวันธรรมสวนะเป็นวันหยุดราชการ งานทุกชนิดต้องหยุดในวันพระ เมื่อถึงวันพระชาวสิงหลจะถืออุโบสถศีล และประกอบศาสนกิจต่าง ๆ พระเจ้าแผ่นดินได้ออกกฎหมาย "มาฆาตะ" คือห้ามฆ่าสัตว์และเบียดเบียนชีวิตสัตว์ จนอาชีพนายพรานได้หายไป นอกจากนั้นรัฐบาลศรีลังกาได้ถือเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
๓. อิทธิพลทางด้านการเมืองการปกครอง
ในด้านการเมืองนั้น พระภิกษุมีบทบาทอย่างมาก พระภิกษุมีความผูกพันกับประชาชนและชนชั้นปกครองอย่างใกล้ชิด จึงมีบทบาทหลายประการ ได้แก่
๑) บทบาททางการเมือง พระภิกษุมีความใกล้ชิดและมีอิทธิพลต่อประชาชนส่วนใหญ่มีบทบาทในการไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างผู้นำทางการเมือง ดังกรณีพระโคธกัฑตะ ติสสะเถระ สามารถเจรจายุติสงครามการเมืองยืดเยื้อ ระหว่างพระเจ้าวัฎฎคามนีอภัยกับแม่ทัพของพระองค์ให้สงบลงได้
๒) บทบาทในการเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ เนื่องจากพระภิกษุได้มีโอกาสถวายการอบรมสั่งสอนแก่บรรดาเจ้าชายต่าง ๆ เมื่อเจ้าชายเหล่านี้ขึ้นครองราชย์ พระภิกษุก็จะกลายเป็นราชครู มีบทบาทต่อการกถวายคำแนะนำแก่กษัตริย์ ดังกรณีพระสังฆมิตตเถระเป็นราชครูของพระเจ้ามหาเสนะ มีอิทธิพลต่อพระเจ้ามหาเสนะอย่างมาก พระองค์จะทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของพระสังฆมิตตะเกือบทุกเรื่อง โดยเฉพาะการรับสั่งให้ทำลายคณะสงฆ์ฝ่ายมหาวิหาร
๓) บทบาทในการเลือกแต่งตั้งพระมหากษัตริย์ เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ ๕ พระเจ้าสัทธาติสสะสวรรคต คณะเสนาบดีและคณะสงฆ์ประชุมกัน ณ ถูปาราม ได้เลือกเจ้าชายถุลถนะ ขึ้นครองราช ตามหลักการแล้วก็น่าจะเป็นเจ้าชายลันชติสสะ พระเชษฐา แต่คณะสงฆ์ไม่สนับสนุน
๔) บทบาททางการศึกษา ตั้งแต่พุทธศาสนาเข้ามาประดิษฐานในลังกา พระภิกษุสงฆ์ได้เข้ามามีบทบาทต่อการทำหน้าที่เป็นครูอบรมสั่งสอนประชาชน แทนพวกพราหมณ์ ที่เคยคำหน้าที่นี้มาก่อน มีวัดเป็นศูนย์กลางในการการศึกษาอบรมศีลธรรมจรรยาแก่กุลบุตรกุลธิดา
๔. บทบาททางวรรณกรรม
พระสงฆ์มีบทบาทต่อด้านวรรณกรรม พระสงฆ์มีบทบาทต่อการร้อยกรองวรรณกรรม ได้ผลิตวรรณกรรมจำนวนมาก โดยเฉพาะคัมภีร์มหาวงศ์ และทีปวงศ์ ซึ่งเป็นพงศาวดารทางประวัติศาสตร์ของลังกา
๕. บทบาททางศิลปกรรม
ศาสนสถาน และศาสนวัตถุ เป็นบ่อเกิดแห่งศิลปะอันทรงคุณค่าของลังกา ศิลปะอันงดงามเกิดจากความศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนา แล่วบรรจงสร้างอย่างประณีต พุทธศาสนิกชนลาวลังกาถือว่า การก่อสร้างวัตถุสถานทางพุทธศาสนาได้บุญอานิสงส์มากจึงได้สร้างศาสนวัตถุมากมาย นอกจากเป็นงานของฆราวาสแล้ว พระภิกษุสงฆ์เองก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ศิลปกรรมแพร่หลาย ด้วยพระสงฆ์ก็เป็นผู้ที่มีฝีมือในการสร้างสรรงานศิลปะ
สรุป
พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศลังกาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ ในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จนพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ในลังกา และได้เสื่อมถอยจากลังกา เนื่องจากการเข้ารุกรานของชาติตะวันตก ได้แก่ฮอลันดา และอังกฤษ ต่อมาภายหลังพุทธศาสนาได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง โดยได้นิมนต์พระสงฆ์ชาวไทยไปเผยแผ่และในขณะเดียวกันก็ได้เกิดนิกายอมรปุรนิกายจากพระชาวลังกาที่ไปอุปสมบทจากประเทศพม่า และรามัญนิกาย ไปอุปสมบทจากเมืองมอญ พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง และเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมลังกา เป็นศาสนาประจำชาติ มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตคนลังกามาก ฯ
เอกสารอ้างอิง
1.ปิยนารถ (นิโครธา ) บุนนาค. ประวัติศาสตร์และอารยธรรมของศรีลังกาสมัยโบราณถึงก่อนสมัยอาณานิคม และความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่าง ศรีลังกากับไทย. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ๒๕๓๔.
2. พนิดา อังจันทร์เพ็ญ. มนต์ขลังลังกา. กรุงเทพฯ : โอ เอส พรินติ้งเฮาส์. มปป. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พระพุทธศาสนาในอาเซีย. กรุงเทพฯ ธรรมสภา, ๒๕๔๐. 3.พระราชธรรมนิเทศ,(ระแบบ ฐิตญาโณ). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ. มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.
4.สมเสียม แสนขัติ, พระมหา. สยามวงศ์ในลังกา. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
5.พระสุพรหมยานเถระ ( ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก) มปส. ๒๕๓๑.
6.เสถียร โพธินันทะ. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ เล่ม ๒ กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๓๕