01-009 หยุดใจไว้นิ่งๆ ไม่วิ่งจับอารมณ์-ฟังธรรมพร้อมปฏิบัติ หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี นำเจริญภาวนา
ผู้บรรยายธรรม : หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
คอร์ส/หลักสูตร : นำปฏิบัติกรรมฐาน
เสียงธรรมนี้เหมาะสำหรับฟังขณะเจริญภาวนา จะมีเสียงเงียบยาวเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้พิจารณา สังเกตสภาวธธรรมต่างๆ เป็นปัจจุบันตามความเป็นจริง โดยมีเสียงท่านเจ้าคุณพระภาวนาเขมคุณ วิ. (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี) พระวิปัสสนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะนั่งปฏิบัติกรรมฐานและสอนนำลูกศิษย์ไปด้วย
คลิปนี้พระอาจารย์ท่านสอนให้สำรวมกาย สำรวมจิตใจ ปรับกายให้คลี่คลาย จิตใจให้ปล่อยวาง สละละวาง ไม่จดจ้องเพ่งเล็งบังคับ ให้รู้ละ สละ วางอยู่ ปล่อยอยู่ คลายออก....
ดูอยู่เบาๆ ถอยออกมาดู ไม่เข้าไปแพ่ง ถอยออกดู ก็จะรู้ทั่วตัวและจิตใจ
มีสติระลึกส่องรู้ไปทั่วกายและใจในความรู้สึก ระลึกสังเกตความรู้สึก
สติสัมปชัญญะระลึกแทรกซึมสัมผัสถูกต้องให้ถูกไปทุกส่วนของสรีระในร่างกายและจิตใจ ถูกต้องคือสัมผัสที่ความรู้สึก
สังเกตใจ ผู้รู้
จิตที่เป็นสภาพรู้อยู่ ดูอยู่
สังเกตว่ามีจิตผู้รู้-ผู้ดูอยู่
บางครั้งจิตนึกคิดก็รู้-รู้ลักษณะความนึกคิด
ขณะมีความปรุงแต่ง วิตก วิจารณ์ วิจัยสงสัย พอใจ-ไม่พอใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง-ผ่องใส ปรากฏเป็นอาการเป็นความรู้สึกอยู่ในจิตใจ ก็รับรู้ ดูเบาๆ สบายๆ อย่างปล่อยวาง
ใจสบายก็รู้ความสบาย ใจ ไม่สบายก็รู้อาการที่ไม่สบาย รู้ว่าใจเศร้าหมองหรือผ่องใส
จิตมีความซึมเศร้าหรือแช่มชื่นเบิกบาน หรือว่าหดหู่ท้อแท้-ท้อถอย...สังเกตดู
เหล่านี้เป็นสภาวธรรม
เป็นการคิดพิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาจิตในจิตอยู่
สภาพธรรมบางครั้งก็ดี-เป็นกุศล บางครั้งไม่ดี-เป็นอกุศล...ก็รู้
มีสติรู้สติก็เป็นกุศลเกิดขึ้น รู้อย่างวาง รู้ปล่อยรู้วางเรียกว่ากำหนดรู้อย่างไม่ว่าอะไร จิตใจจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องไปบังคับไม่ต้องไปอยากให้เป็นอย่างนู้นอย่างนี้ เขาเป็นยังไงก็ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้น สักแต่ว่ารู้... สักแต่ว่ารู้...
แต่ก็ต้องสังเกตความเปลี่ยนแปลง พิจารณาความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ เกิดขึ้นดับไป ความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน แห่งความเป็นเราของเรา
ประคับประคอง พอเหมาะพอดี ไม่เพ่งแล้วก็ไม่เผลอ
มีรู้ มีละวาง ผสมกันไป
รู้ก็รู้ ละก็ละ
สังเกตก็สังเกต
เห็นสภาวะที่เป็นจริงปรากฏหมดไป สิ้นไป บังคับก็ไม่ได้
มันจะเกิดก็ต้องเกิด-จะดับก็ต้องดับ หยุดรู้ยอมรับว่าบังคับไม่ได้
เกิดขึ้นหมดไป ปรากฏหมดไปเป็นปัจจัยแก่กัน
พิจารณาสั้นๆ เป็นปัจจุบันชั่วขณะ
มีรู้ มีละ ผสมกลมกลืนกันไป
พิจารณาธรรมทั้งภายนอก-ภายใน
เห็นความหมดไปสิ้นไปด้วยใจที่ปล่อยวาง
สิ่งใดจะเกิดก็เกิด-สิ่งใดจะดับก็ดับ วางเขาไว้ตามสภาพนั้นๆ
รู้เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นปัจจุบัน แว๊บ...หนึ่งหมดไป...แว๊บ....หนึ่งหมดไป ...
หมดไปแล้วก็แล้วไปรู้สิ่งใหม่ สภาวะอันใหม่ มันมีสภาวะอันใหม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผ่านไป...ผ่านไป... ตั้งสติดูเฉพาะอันใหม่ที่กำลังปรากฏ
เย็นอันใหม่
ตึงอันใหม่
แข็งอันใหม่
ไหวอันใหม่
สบายอันใหม่
ไม่สบายอันใหม่
เสียงอันใหม่
ได้ยินอันใหม่
คิดนึกอันใหม่
รู้อันใหม่
มีแต่ของใหม่ปรากฏ...
จิตที่รู้-ก็รู้ขึ้นมาใหม่
ปรากฏแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นมาใหม่ก็ดับไป
ฉะนั้น ไม่ต้องไปติดอยู่กับสิ่งที่เป็นอดีต
อดีตผ่านไปแล้วก็แล้วไป พิสูจน์อะไรไม่ได้
ดูเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ
อะไรยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปพะวงถึง
ดูรู้เฉพาะหน้า เฉพาะที่ผ่านมาเป็นปัจจุบัน
เนี่ยกำลังได้ยินเสียง...เป็นปัจจุบัน
กำลังคิดนึกเนี่ย...เป็นปัจจุบัน
กำลังรู้อยู่เนี่ย...เป็นปัจจุบัน
กำลังรู้สึกสบาย-กำลังไม่สบาย กำลังเป็นสุข-เป็นทุกข์
สภาวธรรมมันสลับสับเปลี่ยน
ได้ยินเสียงบ้าง
รู้สึกเย็นบ้าง
คิดนึกบ้าง
ไหวไหวบ้าง
แต่ผู้รู้ไม่ไปวุ่นวายด้วย ดูอยู่เฉยๆ
สิ่งที่มาให้ดูจะเป็นไปต่างๆ แต่ผู้รู้วางหยุดอยู่ รู้อยู่ สงบใจรู้อยู่ ไม่วุ่นวายไปด้วย อะไรมันจะสับสนยังไงก็ตาม ผู้รู้ก็วาง หยุดใจไว้ดูอยู่นิ่งๆ
ใจจะฟุ้งแต่ไม่ฟุ้งด้วย ผู้รู้ดู-ไม่ฟุ้งด้วย
ที่สุดก็หยุดใจไว้นิ่งๆ ไม่วิ่งจับอารมณ์
ไม่จงใจติดตามจับอารมณ์
หยุดใจ-ปล่อยวาง
หยุดใจนิ่งๆ แต่ทุกสิ่งก็มาปรากฏให้รู้เอง
รู้...ก็ละวาง
หมายเหตุ: ข้างต้นนี้เป็นคำสอนพระอาจารย์ในคลิปนี้ แต่ไม่ใช่การถอดคำสอนคำต่อคำ อาจมีลบคคำซ้ำบ้างแต่เนื้อหาไม่เปลี่ยน โปรดฟังจากต้นฉบับเสียงค่ะ
ขอให้ท่านและครอบครัวของท่านจงประสบแต่ความสุขสงบ
และมีความเจริญในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ
อนุโมทนาสาธุ
https://www.youtube.com/@WirangrongDabbaransi
ที่มา : https://www.youtube.com/@WirangrongDabbaransi