เรื่อง "โรคกรรมเก่า"




มาถึงตอนนี้มีเรื่องแปลก ๆ ที่ไม่น่าจะมีได้ แต่ก็ได้มีแทรกขึ้นในวงกรรมฐานมาแล้วสมัย
ท่านพักอยู่ในเขาที่เชียงใหม่ จึงขออภัยเขียนไว้บ้างตามที่ได้ยินมา เพื่อเป็นข้อคิดและ
เป็นคติเตือนใจแก่ชาวเราต่างก็กำลังตกอยู่ในภาวะทำนองเดียวกัน

เรื่องนี้คิดว่า เป็นเรื่องกรรมกันโดยมาก บรรดาที่ได้ทราบกันในวงใกล้ชิดมี
ท่านพระอาจารย์มั่น เป็นต้น ผู้ให้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องนี้พอได้เป็นข้อคิดตลอดมา

พระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งเคยอยู่กับท่านอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังว่า บ่าย ๆ วันหนึ่งท่านกับพระ
อีกรูปหนึ่งไปอาบน้ำที่แอ่งหิน ใกล้กับหนทางไปไร่ไปสวนของชาวบ้านแถบนั้น
แต่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก

ขณะลงอาบน้ำ เผอิญมีพวกสีกามาจากไร่ เดินผ่านมาที่ตรงนั้น ซึ่งแต่ก่อนไม่เคย
มีเลยพอพระรูปนั้นเจอเข้า จิตก็เกิดแปรปรวนขึ้นมาทันทีทันใด โดยไม่ทันได้มีสติยับยั้ง
เอาเลยจึงเกิดเป็นไฟราคะตัณหาเผาลนตัวเองขึ้นในขณะนั้นและร้อนสุมอยู่ตลอดไป
พยายามแก้ไขเท่าไรก็ไม่ตก ทั้งกลัวท่านอาจารย์จะทราบก็กลัว ทั้งกลัวเจ้าตัวจะเสีย
ไปเพราะเรื่องนี้ก็กลัว เลยทำให้พระรูปนั้นตั้งตัวไม่ติด

นับแต่ขณะนั้นไปถึงกลางคืน จนตลอดคืนที่พิจารณากันอยู่อย่างไม่หยุดยั้งลดละ เพราะ
ความไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เพิ่งมาเจอเอาขณะนั้น ท่านจึงรู้สึกเป็นทุกข์มาก ในคืนนั้น
ท่านอาจารย์ก็พิจารณาทราบเช่นกันว่า

พระรูปนี้ไปเจอเอาของดีเข้าแล้ว กำลังเกิดความกระวนกระวายด้วยความรัก
และความกลัวตลอดคืนมิได้หลับนอนด้วยความพยายามแก้ไขอย่างสุดกำลัง


ตื่นเช้าขึ้นมาท่านก็มิได้ว่าอะไร เพราะทราบว่าเจ้าตัวกำลังกลัวท่านมากแล้ว ถ้าไปว่าเข้า
เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรไปก็ยิ่งจะแย่เข้าไปอีก ท่านแสดงอาการยิ้มต่อพระองค์นั้นขณะที่มา
พบกันตอนเช้า ดูอาการของเธอทั้งอายทั้งกลัวท่านมากแทบตัวสั่น ท่านก็ทำอาการเป็น
ไม่รู้ไม่ชี้เฉย ๆ ไปเสีย

พอถึงเวลาบิณฑบาต ท่านเลยหาอุบายพูดเพื่ออะไรก็ยากจะเดาได้ถูก ว่าท่าน….. กำลัง
เร่งภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง จะเร่งต่อไปไม่ต้องไปบิณฑบาตก็ได้ ไปแต่พวกเราก็ยังได้
พระเพียงองค์เดียวจะเลี้ยงไม่ได้อย่างไร

ท่านอยากภาวนาต่อก็ไปภาวนาเสีย ภาวนาเผื่อหมู่คณะด้วยนะ แต่ท่านมิได้มอง
ดูพระรูปนั้นเลย เพราะท่านทราบดียิ่งกว่าพระรูปนั้นจะทราบเรื่องของตัวอยู่แล้ว

ว่าแล้วท่านก็นำหมู่คณะออกบิณฑบาต ส่วนพระรูปนั้นก็จำใจเข้าทางจงกรมทำความเพียร
ทั้งนี้ท่านทำเพื่ออนุเคราะห์พระที่เป็นขึ้นด้วยความบังเอิญ ไม่มีเจตนา แต่สุดวิสัยจะห้าม
ได้ ท่านก็ทราบว่าพระรูปนั้นพยายามอยู่อย่างเต็มใจที่จะแก้เรื่องของตัว จึงต้องหาอุบาย
ช่วยด้วยวิธีต่าง ๆ โดยมิให้กระทบกระเทือนจิตใจเธอแต่อย่างใด


เวลากลับจากบิณฑบาตมาถึงที่พักแล้ว ก็พร้อมกันจัดอาหารใส่บาตรเธอ และสั่งให้พระ
ไปนิมนต์เธอมาฉัน หรือจะฉัน ณ ที่อยู่ของตนก็ได้ตามแต่สะดวก พอทราบเธอก็รีบมา
ฉันร่วมหมู่คณะ ขณะเธอเดินมา ท่านก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่มอง แต่พูดอย่างนิ่มนวลอ่อน
หวาน เพื่อประสานใจที่เป็นรอยร้าวตลอดมานั้น ไม่ปรารภเรื่องที่จะทำให้เสียใจใด ๆ เลย

แม้เธอจะมาฉันร่วมหมู่คณะ แต่ก็ฉันได้นิดเดียว พอเป็นพิธีไม่ให้เสียมรรยาทเท่านั้น วัน
นั้นพระที่อยู่ด้วยกันสองรูปคือรูปที่เล่านี้ด้วย เพราะแต่ก่อนท่านยังไม่ทราบเรื่อง พากัน
เกิดความสงสัยโดยคิดว่า แต่ก่อนท่านอาจารย์ไม่เคยทำอย่างนี้กับใครเลย

แต่มาคราวนี้ท่านทำไมถึงทำอย่างนี้กับท่าน……นี้ ชะรอยท่านคงภาวนาดีแน่ ๆ ท่านถึง
ได้ช่วยสนับสนุน พอได้โอกาสก็แอบไปหาท่าน…..นั้น ถามถึงการภาวนาว่า
ท่านอาจารย์ว่าท่านกำลังเร่งความเพียรจึงไม่ให้ไปบิณฑบาต แต่ท่านมิได้บอกว่า
ท่านภาวนาดี ที่นี่การภาวนาท่านเป็นอย่างไรบ้าง นิมนต์เล่าให้ผมฟังบ้าง


พระรูปนั้นก็ยิ้มแห้ง ๆ แล้วตอบว่าผมจะภาวนาดียังไง ท่านอาจารย์เห็นคนจะตายท่านก็
ทำท่าช่วยเสริมไปตามอุบายแห่งความฉลาดของท่านอย่างนั้นเอง ผู้ถามเซ้าซี้ให้เล่าให้
ฟังตามความจริง ต่างก็ไล่กันไปเลี่ยงกันมาอยู่พักหนึ่ง และถามว่าที่ว่าท่านอาจารย์เห็น
คนจะตายท่านก็ช่วยเสริมไว้นั้นจะตายอย่างไร และช่วยเสริมอย่างไร? เมื่อทนไม่ไหว

เธอก็กำชับว่า ไม่ให้เล่าถวายท่านอาจารย์ทราบ เพราะท่านทราบเรื่องของผมละเอียดแล้ว
ยิ่งกว่าผมทราบเรื่องของตัวเป็นไหน ๆ ฉะนั้นผมจึงกลัวและอายท่านมาก แล้วพูดต่อไปว่า
วานนี้เราไปอาบน้ำด้วยกันที่แอ่งหิน ท่านได้เห็นอะไรบ้างขณะกำลังจะอาบน้ำ รูปที่ถาม
ตอบว่าก็ไม่เห็นเห็นอะไร นอกจากผู้หญิงที่พากันมาจากไร่ผ่านไปบ้าน
ตอนพวกเรากำลังจะอาบน้ำนั้นเท่านั้น

พระที่ถูกถามตอบว่า นั่นแลท่านที่ผมจะตายอยู่ขณะนี้ จนถึงกับท่านอาจารย์ไม่ยอมให้
ผมไปบิณฑบาต ท่านกลัวจะไปสลบหรือตายอยู่ในบ้านขณะที่จะไปเจอเข้าอีกอย่างไรเล่า
ผมจะภาวนาดีอย่างไร ท่านทราบหรือยังว่าคนจะตายนั้นหรือคือคนภาวนาดี องค์ที่ถาม
ตกตะลึง โอ้โฮตายจริง ท่านไปเป็นอะไรกับเขาพวกนั้นเข้าล่ะ

รูปนั้นตอบว่า ผมจะไปเป็นอะไรกับเขา นอกจากไปขโมยรักเขาเข้าโดยไม่รู้สึกตัว
จนกรรมฐานแตกกระเจิงไปหมด ปรากฏแต่ความสวยงามกับความบ้ารักของผมเท่านั้น
เหยียบย่ำทำลายหัวใจผมแทบตายทั้งคืนเมื่อคืนนี้ แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลดละเรื่องบ้านั่นเลย
ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับมัน ท่านช่วยผมหน่อยได้ไหม นับว่าเมตตาเอาบุญ

องค์ถาม เวลานี้ก็ยังไม่ลดลงบ้างหรือ? เปล่า เธอตอบ ซึ่งเป็นคำที่น่าสงสารเอามากมาย
องค์ถาม ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยให้อุบายท่าน คือถ้าท่านไม่สามารรถระงับมันได้ ท่านฝืน
อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากมันจะกำเริบขึ้นเท่านั้น ผมว่าท่านควรหลีก
จากที่นี่ไปหาภาวนาเสียที่อื่นจะดีกว่า


ถ้าท่านไม่สามารถกราบเรียนท่านอาจารย์ได้ ผมจะช่วยกราบเรียนท่านให้ ว่าท่าน
ประสงค์จะไปแสวงหาที่วิเวกใหม่ เพราะอยู่ที่นี่ไม่สบาย เข้าใจว่าท่านคงจะอนุญาตทันที
เพราะท่านก็ทราบเรื่องท่านดีอยู่แล้วโดยปริยาย เป็นแต่ท่านยังไม่พูดเท่านั้น เกรงท่าน
จะอายท่าน เธอก็เห็นดีด้วยและตกลงกันในขณะนั้น


พอตกเย็นท่านที่จะช่วยอนุเคราะห์ก็เข้าไปกราบเรียนท่านอาจารย์ ท่านก็อนุญาตทันที
แต่มีปัญหาเหน็บแนมมาด้วยอย่างลึกลับว่า โรคกรรมนี้มันหายยาก โรคที่มีเชื้อเดิมอยู่
แล้วติดต่อลุกลามได้เร็ว
เท่านี้ท่านก็หยุดไม่พูดอะไรต่อไปอีก แม้ผู้ไปกราบเรียน
ก็ไม่เข้าใจปัญหาท่าน

เรื่องนี้ต่างคนต่างปิดกัน คือผู้เป็นก็ปิดท่านอาจารย์ ผู้อนุเคราะห์ช่วยเหลือก็ปิดท่านอีก
แม้ท่านอาจารย์เองก็ปิด ทั้งที่ทราบอย่างเต็มใจแล้วก็ทำเป็นเหมือนไม่ทราบ ต่างคนต่าง
ไม่ยอมบอกความจริงต่อกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้เรื่องได้ดีด้วยกัน วันหลังเธอก็เข้าไป
กราบนมัสการลาท่าน ท่านก็อนุญาตให้ไปด้วยดี โดยมิได้พูดเรื่องเธอแต่อย่างใด

เธอไปพักอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากหมู่บ้านนั้นมาก ถ้ามิใช่กรรม
ดังท่านอาจารย์ว่าจริง ๆ ก็คงหวังพ้นภัยได้แน่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีก

แต่ก็เจ้ากรรม อนิจจาเป็นดังท่านว่าไม่ผิดแม้กระเบียดเดียว พอเธอหายหน้าไป
จากบ้านนั้นไม่นานนัก ลูกศรที่อยู่ทางนี้ก็คงเจ้ากรรมอย่างเดียวกันอีก
อุตส่าห์ด้นดั้นเปะปะไปหาจนเจอเข้าจนได้


ซึ่งธรรมดาผู้หญิงป่าไม่เคยเป็นไปอย่างนั้น แต่ก็ได้เป็นไปแล้ว จึงเป็นเรื่องน่าคิดอย่างยิ่ง
หลังจากท่านอาจารย์และหมู่คณะจากหมู่บ้านนั้นไปไม่นานนัก

ก็ทราบว่าพระองค์นั้นสึกเพราะดมยาสลบซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนทนไม่ไหว สุดท้ายกรรมก็พา
หมุนกลับมาได้เสียเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน กับสาวงามชาวเขาเผ่ามูเซอคนนั้น ที่บ้านนั่นเอง
นับว่ากรรมเอาเสียจริง ๆ ถ้าไม่กรรมแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร


เพราะเท่าที่พระองค์นั้นเล่าให้ฟังขณะที่ใจเริ่มกำเริบทีแรก ก็เพิ่งเริ่มพบกันขณะเดียวเท่านั้น
มิได้เคยพบเห็นและพูดจาพาทีกันที่ไหนมาก่อนเลย ข้อนี้บรรดาพระที่อยู่ร่วมกันมา ก็ยอม
รับว่าเป็นความจริง เพราะอยู่ด้วยกันในวัดตลอดเวลา มิได้ไปไหนมาไหนพอจะหลวมตัว
ทั้งก็อยู่กับท่านพระอาจารย์เสียเอง อันเป็นสถานที่ให้ความปลอดภัยตลอดมา
ไม่มีข้อที่น่าสงสัย นอกจาก เจ้ากรรมหรือคู่บาปคู่บุญมาถึงเข้าเท่านั้น

เธอเล่าให้พระเคยอนุเคราะห์ฟังว่า เพียงประสาททางตากระทบกันเท่านั้น มันเหมือนดม
ยาสลบเข้าไปไม่ได้สติสตังเอาเลย
ปรากฏแต่ความรักความผูกพันมัดจิตใจจนแทบจะหาย
ใจไม่ออก ทำให้จิตใจเซ่อซ่าไปตามอารมณ์นั้นจนตัวไม่เป็นตัวของตัว และไม่มีเวลาลดหย่อน
ผ่อนคลายลงบ้างเลย

เมื่อเห็นท่าไม่ได้การก็พยายามปลีกตัวหนีไป เจ้าของยาก็ตามไปเยี่ยมคนไข้อีก เรื่องก็เสร็จกันเท่า
นั้นเองจะไปที่ไหนรอด ใครไม่เคยถูกก็ดูยิ้มได้ ถ้าถูกเข้าก็รู้เอง เพราะมิใช่พระสุนทรสมุทรพอจะ
เหาะออกจากทางทวารบนแห่งบ้านได้

ตามปกติพวกนี้ไม่คุ้นกับพระแต่หากกรรมพาเป็นไปเอง เรื่องกรรมนี้จึงไม่สิ้นสุดอยู่กับผู้ใด
เพราะกรรมมีอำนาจเหนือใครในโลกที่สร้างกรรม
พระอาจารย์ท่านทราบอย่างเต็มใจ
จึงต้องมีอุบายปฏิบัติต่อเธออย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำต่อผู้ใดมาก่อนเลย

แต่ก็คงสุดวิสัย ท่านจึงมิได้แนะอุบายอะไรเพื่อเธอให้ยิ่งไปกว่าที่อนุเคราะห์มาแล้วนั้น เรื่อง
ก็ลงเอยกันตรงที่เมื่อไปไม่รอดก็จำต้องจอดเรือ ซึ่งเป็นคติธรรมของโลก
ที่อยู่ใต้อำนาจของกรรม

ดังนั้นจึงได้นำเรื่องนี้มาลงไว้เพื่อเป็นคติเตือนใจพวกเราที่อาจเป็นได้ หากเป็นการ
ไม่สมควรประการใดก็หวังได้รับอภัยจากท่านผู้อ่านตามเคย ...

ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

   

5,232







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย