ผู้เชื่อกรรมย่อมไม่ทำกรรมชั่วเลย : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
เศษบาปที่ที่ได้ทำมาแต่ก่อนนู่นน่ะมันยังไม่หมดในตำราที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้
เช่น ตายแล้วไปตกนรกอย่างนี้ พ้นจากนรกมาแล้วบาปนั้นยังไม่หมด
มันก็มาเกิดเป็นเปรต หรือเป็นอสุรกาย หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน
แล้วแต่เศษบาปนั้นมันจะมีมากมีน้อยเท่าไร มันก็มาตกแต่งให้เป็นสัตว์เหล่านี้แหละ
ก็เรียกว่าได้รับทุกข์เบาลงกว่าสัตว์นรกนั้น อีกเพราะว่าบาปกรรมนั้นมันเบาลงแล้ว
เอ้า พ้นจากเปรตหรือว่าพ้นจากสัตว์เดรัจฉานนั้นเศษบาปนั้นก็ยังไม่หมด
มาเกิดเป็นคน บาปกรรมอันนั้นก็มาตกแต่งร่างกายให้ไม่สมประกอบ
ให้ได้รับทุกข์ทนทรมานอยู่กับอวัยวะร่างกายอันไม่บริบูรณ์นั้นอีกทีหนึ่ง
เรื่องบาปมันเป็นอย่างนี้น่ะ มันให้ผลไปโดยลำดับๆไป ให้น้อยลง น้อยลง
ไม่ใช่ว่ามันหมดไปทีเดียวนะบาปให้ผลน่ะ ต้องสังเกตดูให้ดี
นักปราชญ์ทั้งหลายท่านพิจารณาเห็นเหตุผลดังกล่าวมานี้น่ะก็จึงไม่ทำบาป
แม้จะทุกข์จนหนโลกอย่างไรก็ตาม..ก็จะไม่ทำบาป
อันนี้เป็น "ความรู้ความฉลาดของนักปราชญ์ทั้งหลาย" ผู้ที่เกิดมาในโลกนี้
ซึ่งตรงกันข้ามกับ "ความรู้ของคนพาล" ความรู้ของคนพาลนั้น
มันรู้ผิดไปจากความเป็นจริง มันเชื่อโดยไม่มีเหตุผล
เชื่อตามๆกันไปเฉยๆ ที่เข้าตำราว่า คบคนเช่นใดก็เป็นเช่นคนนั้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตนไม่มีปัญญานั่นแหละ เอาผู้อื่นเป็นชีวิตจิตใจ
ถ้าได้คบคนพาล คนพาลเขาชักชวนไปทำความชั่วก็เข้าใจว่าเป็นความดีก็ทำไปตามเขา
ถ้าผู้ใดได้คบนักปราชญ์บัณฑิต นักปราชญ์ท่านชักชวนทำคุณงามความดี
อันผู้มีนิสัยชั่วติดตัวมามากแล้วนี่มันจะทำตามคำชักชวนของนักปราชญ์บัณฑิตไม่ค่อยได้หรอก
ก็ต้องอ้างว่า ไม่มีความสามารถ ทำไม่ได้ นั่นแหละยอมเอาดื้อๆอย่างนั้นเลย
แต่ถ้าผู้มีบุญวาสนาติดตัวมาบ้างอย่างนี้ ก็พอมีความสามารถ
ทำตามคำแนะนำของนักปราชญ์ได้อยู่บ้าง แต่ทำไม่ได้เต็มที่ ก็พอเป็นอุปนิสัยปัจจัยไป
นี้ล่ะชีวิตของคนเรามัน.."กรรมมันเป็นเครื่องตกแต่ง" มันจึงมีอาการเป็นไปแตกต่างกัน
เราเห็นกันด้วยตาหนังนี่แหละ ไม่จำเป็นต้องไปรู้ด้วยญาณอะไรหรอกอันนี้น่ะ
เมื่อเป็นเช่นนี้น่ะ ผู้รู้ผู้เห็นผู้เชื่อกรรม ผลแห่งกรรมของสัตว์ทั้งหลาย
และเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมที่ตัวกระทำลงไปอย่างนี้แล้ว
นั่นล่ะผู้นั้นก็จะไม่ทำกรรมชั่ว จะขยันทำแต่กรรมอันดี