@ ... วิปัสสนูปกิเลส !
วิปัสสนูปกิเลส
ตอนที่ ๑
“ติดสุข”
….
@ เกิด”โอภาส”รุนแรงเป็นแสงจ้า
สว่างตาสว่างใจไปทั้งห้อง
ผลแห่งการ ภาวนา ช่างน่ามอง
ดุจแสงทอง ส่องทาง สว่างเกิน
@ เมื่อเห็นทาง สว่างไสว ก็ใจสุข
คิดว่าใช่ แล้วพ้นทุกข์ สุขสรรเสริญ
บุญบารมี เราเกิด ประเสริฐเกิน
จึงเพลิดเพลิน ติดสุข สนุกสบาย
@ เราบรรลุ ธรรมแล้ว อย่างแน่วแน่
มิผันแปร แน่ยิ่ง สิ่งทั้งหลาย
สุขกับแสง แห่งธรรม เจิดกำจาย
แท้..งมงาย อย่างโง่ โธ่เอ๋ยคน
ตอน ๒
“ญาณ”
@ เกิดปัญญา ปราดเปรียว เฉลียวฉลาด
จนสามารถ แยกรูป-นาม ความสับสน
ได้แคล่วคล่อง ว่องไว ไม่วกวน
จึงสำคัญ ว่าตน คนมีญาณ
@ ญาณคือรู้ รูป-นาม ตามกำหนด
รู้ได้หมด ชัดเจน เป็นมาตรฐาน
รูปคือรูป มองเห็น เป็นรูปงาน
ส่วนนามต้อง มองผ่าน ด้วยญาณตน
@ ญาณหยั่งรู้ ทุกแห่ง รู้แจ้งยิ่ง
รู้ทุกสิ่ง ทันใจ ไม่สับสน
รู้ทั้งนอก ทั้งใน ไม่กังวล
มั่นใจจน คิดว่า ข้ารู้จริง
@ นี้แหละคือ ผลทำ กรรมฐาน
จึงมีญาณ รู้กิเลส วิเศษยิ่ง
สำคัญตน รู้กระจ่าง กล้าอ้างอิง
นี่ก็สิ่ง ที่จิต ติดงอมแงม
ตอน ๓
“ปิติ”
@ เกิดรู้สึก สุขสบาย กายเบาหวิว
เฉื่อยลมฉิว เย็นสบาย ผิวกายแจ่ม
ปิติสุข ซาบซ่า เข้ามาแจม
ยิ้มแอร่ม แจ่มบรรเจิด เพริดพริ้มเพรา
@ ไม่เคยพบ แผ้วพาน ในกาลก่อน
สุขแน่นอน อิ่มใจ ไม่มีเศร้า
สุขยิ้มกริ่ม อิ่มใจกาย สบายเบา
พบแล้วเรา สุขแท้ และแน่นอน
@ นี่ก็คือ กิเลส เหตุให้หลง
ทระนง องอาจ คาดไว้ก่อน
สำคัญผิด อย่างไม่ ได้สังวร
ทุกข์เดือดร้อน ย้อนหลัง ทุกครั้งไป
ตอน ๔
“ปัสสัทธิ”
@ สงบกาย สงบใจ ให้เย็นเยือก
หายใจเฮือก เย็นฉ่ำปอด ยอดไฉน
ไม่กระด้าง อบอุ่น ละมุนละไม
เวทนาไม่ มีทุกข์ สุขเต็มเต็ม
@ เป็นความสุข สงบ เพิ่งพบเห็น
สุขเยือกเย็น ด้วยธรรมะ อันเกษม
หลงเคลิบเคลิ้ม ยินดี ด้วยปรีย์เปรม
จนอิ่มเอม ติดสุข ทุกคืนวัน........พุดเดิล
(และตอนต่อ ๆ ไป)