พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละ อคติสี่ประการ
อย่าไปยึดมั่นอยู่ในอคติ
ฉันทาคติ มีลำเอียงเพราะความรักกัน
โทสาคติ ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน
โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง
ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
อย่างว่าเห็นเขามีเงินมากกว่าเขามีอำนาจ
อย่างนี้เมื่อ เขาทำผิดลงเราจะไปทักท้วงก็กลัว
กลัวอำนาจเงินเขา
กลัวเขาจะทอดทิ้งอะไรต่ออะไรอย่างนี้และชื่อว่า ภยาคติ
แปลว่า มีความลำเอียงเพราะความกลัว
ถ้าไม่ลำเอียงเพราะความกลัว
เขาทำผิดเราก็ต้องว่าตามความผิดของเขาไปอย่างงั้น
เขาทำถูกเราก็ว่าไปตามการกระทำถูกของเขา
เรามีจิตเป็นกลาง ขอให้เข้าใจ พยายามทำจิตให้เป็นกลางให้ได้
เมื่อทำจิตให้เป็นกลางได้ จึงจะผ่านโลกธรรมแปดประการนี้ไปได้
ถ้าไม่ทำจิตให้เป็นกลางอย่างนี้เดี๋ยวก็จะเกิดวิกฤติทางจิตใจขึ้นมา
เดี๋ยวก็คนนั้นนินทา เดี๋ยวก็คนนี้สรรเสริญ
แล้วจิตหวั่นไหวไปกับสรรเสริญนินทา อยู่อย่างนั้นแล้ว
เมื่อเวลามีลาภ มียศมาก็ดีอกดีใจ
ถ้าเวลาเสื่อมลาภเสื่อมยศก็เสียใจเศร้าโศก
นี่เรียกว่าคนผู้ถูกโลกธรรมครอบงำจิตใจ
ย่อมมีแต่ความทุกข์ ความโศกเป็นยังงั้น
ถ้าหากว่าเรามีอุบายรู้เท่าว่า
ลาภยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ ทั้งหลายเหล่านี้
นินทาว่าร้ายต่างๆ มันเป็นธรรมประจำโลก
ธรรมเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป
ก็ต้องพิจารณาให้เห็นอย่างนี้
เมื่อมีลาภมา ลาภนั้นมันก็ไม่ยั่งยืน ใช้ไปจ่ายไปก็หมดไป
แต่ในเมื่อมียศถาบรรดาศักดิ์
เขาสมมุติแต่งตั้งให้เป็น เจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ
หรือเจ้าหน้าที่ทำราชการงานเมืองต่างๆ นานา
หมู่นี้นะก็อย่าไปไว้ใจว่า
ไอ้ยศถาบรรดาศักดิ์เหล่านั้นมันจะยั่งยืนไปตลอด
เราต้องวางจิตให้เป็นกลาง
ถ้าหากว่าเขาผู้บังคับบัญชาเขาเห็นเขาไม่ชอบใจ
เขาก็ถอดออกเมื่อไรก็ได้ เราก็ไม่ต้องเสียใจดีใจอะไร
เพราะว่าลาภยศมันไม่เที่ยง
มันมีเกิดขึ้นแล้วมันก็มีเสื่อมไปสิ้นไปเป็นธรรมดา
ขอให้พากันทำความรู้เท่าโลกธรรมอย่างนี้
โลกธรรมที่ประสบความสุข ก็อย่าเพลิดเพลินในความสุขนั้น
เพราะความสุขในโลกนี้มันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน
แต่ว่าความสุขที่มีร่างกายสมบูรณ์
โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียนอย่างนี้ก็ มันก็เป็นสุขอีกส่วนหนึ่ง
บัดนี้ความสุขที่มีทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของพอใช้
พอจ่ายอันนี้มันก็เป็นสุข ประการหนึ่ง เป็นยังงั้น
ความสุขที่เกิดแต่ร่างกายไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
อย่างนี้มันก็เป็นความสุขอีกประเภทหนึ่ง
ไอ้ความสุขทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง
เราภาวนาเราต้องรู้เท่าไว้
เมื่อเวลามันเกิดขึ้นมาเมื่อไร เราก็จะได้รู้เท่าทัน
จะมีใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เป็นยังงั้น
เพราะว่าถ้าเราจะไปมัวเสียใจเศร้าโศก
กับความผิดหวังดังกล่าวมานั้น
มันก็เป็นความเศร้าโศกเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไร
มีแต่ความทุกข์ใจอย่างเดียว
:: หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ