ใจพระโสดาบัน (เล่าเรื่อง นางอุตตรา) : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
อัน “พระโสดาบัน” นี้คฤหัสถ์ครองเรือนก็บรรลุได้ เห็นแจ้งได้
บรรลุได้ยากมีแต่ “อรหัตตผล” เท่านั้นแหละ
อรหัตตผลนั้นเป็นคฤหัสถ์นี่มีจำนวนน้อยที่บรรลุนั้นน่ะ
พอบรรลุแล้วก็นิพพานไปเลย อยู่ไปไม่ได้
ถ้าจะอยู่ต่อไปก็บวช แต่สำหรับมรรคทั้งสามเนี่ย
“โสดา-สกิทาคา-อนาคา”
นี่คฤหัสถ์มีสิทธิ์บรรลุได้เป็นจำนวนมากทีเดียว
ในตำราท่านกล่าวไว้ว่า
โสดาบันนี่แหละสำหรับผู้ครองเรือนแล้ว
ครั้งพุทธกาลนะบรรลุกันมากมายทีเดียว
ก็เพราะท่าน “มองเห็นอัตภาพร่างกายไม่ใช่ตัวตน”
อย่างว่านี่แหละด้วยปัญญาอันยิ่ง
แล้วเหตุนั้นถึงได้ละความถือตัวถือตนลงไป
เมื่อละความถือตัวถือตนออกไปแล้ว
จิตใจนี้มันก็เบา มันก็ไม่หนักไม่หน่วง
แม้ร่างกายนี้มันจะวิบัติแปรปรวนไปยังไง
จิตนี้ก็ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อน
แม้ใครจะด่าว่าเสียดสีอะไรมันก็ไม่โกรธ
เพราะมันเห็นแจ้งอยู่นี่ว่าเขาไม่ได้ด่าเรา
เขาด่าก้อนดิน น้ำ ไฟ ลม ต่างหาก
เหตุนั้นพระโสดาบันท่านถึงไม่โกรธนั่นแหละ
เหมือนอย่างประวัติ "นางอุตตรา"**กับนางสิริมาครั้งนั้นน่ะ
นางอุตตรานั้นเอาเงินไปจ้างนางสิริมามาบำรุงบำเรอสามีของตน
ก็นางสิริมาเป็นคนงามในสมัยนั้น ที่ประชุมไม่ยอมยกให้ใคร
แต่ถ้าใครให้เงินแล้วเอา ไปบำเรอผู้นั้น
ส่วนนางอุตตรานั้นน่ะได้ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ได้สำเร็จโสดาบัน แล้วไปได้สามีตระกูลมิจฉาทิฏฐิ
ไม่ได้ทำบุญทำทานอะไร ก็เลยส่งข่าวไปหามารดาบิดา
ขอให้บิดามารดาส่งเงินส่งทองมาให้จะได้ทำบุญทำทาน
มารดาบิดาก็ส่งเงินมาให้ เอ้า จ่ายซื้ออาหารมาทำอาหาร
นิมนต์พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์มาฉันภัตตาหารในบ้าน
ขออนุญาตสามีสัก ๗ วัน โดยให้นางสิริมานั้นเป็นนางบำเรอ
บำเรอสามีแทนตน ตนนั้นรักษาศีล ๘
แล้วก็ได้ทำควบคุมคนแม่ครัวต่างๆให้จัดอาหารอันประณีต
ถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ แล้วฟังธรรม
บัดนี้อยู่มาวันหนึ่งนางสิริมามองลงไปเห็นนางอุตตรานี่แหละ
คลุกคลีอยู่กับหม้อข้าวหม้อแกงอะไรหมู่นั้น นึกอิจฉาขึ้นมา
เอ๊ะ..ถ้าเราทำลายแม่คนนี้ได้ล่ะก็เราจะได้เป็นใหญ่ในบ้านนี้
พอคิดอย่างนั้นก็ลงจากปราสาทมา
มาพอดีกับเพื่อนต้มน้ำข้าวต้มเดือดพล่านๆอยู่
ก็เอากระบวยไปตักน้ำข้าวต้มนั้น มารดศีรษะนางอุตตรา
นางอุตตราอธิษฐานใจให้แน่วแน่แล้วว่า
"ถ้าหากเราได้อิจฉาพยาบาทแม่คนนี้น้อยหนึ่ง
ก็ขอให้น้ำข้าวนี้มันลวกให้มันเปื่อยไปทั้งตัวเลย
แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้มีใจอิจฉาพยาบาทนางคนนี้ก็ขอให้ปลอดภัย"
เมื่อเพื่อนเอาน้ำข้าวต้มร้อนๆมารดศีรษะลงไป
ก็ไม่ต่อสู้อะไรเลย ปรากฏว่าน้ำข้าวร้อนๆอันนั้นน่ะ
กลายเป็นน้ำเย็นไป เย็นไปทั่วตัวเลยบัดนี้
นางสิริมาคิดว่า เอ๊ะ น้ำข้าวนี้มันเย็นแล้วมั้งมันไม่ร้อน
เอ้า ไปตักอีก ตักอีกมารดอีกมันก็เย็นอยู่หมือนเดิมน่ะ
เจ้าตัวผู้ถูกรดนั้นก็ไม่ดิ้นรนกระสับกระส่ายอะไร
ก็พอดีบริวารของนางอุตตราเห็นเข้า
ก็เลยพากันมาช่วยนายของตัว
ไปทุบไปตีนางสิริมาจนบอบจนช้ำลงไป
แต่ถึงกระนั้นนางอุตตราก็ยังห้ามบริวารของตน
ไม่ให้ทำร้ายนางสิริมาจนถึงล้มถึงตาย
แถมยังได้พานางสิริมาไปหาตู้ยา
เอายาออกมาทามาใส่แผล ฟกช้ำดำเขียวต่างๆให้
นี่แหละ “ใจของพระโสดาบัน” นะ ฟังเอาไว้เป็นอย่างนี้นะ
นางสิริมารู้ตัวเลยบัดนี้..แหมไอ้เราเบียดเบียนเพื่อนถึงขนาดนี้
เพื่อนยังไม่โต้ตอบเราเลย ถ้าหากว่านางอุตตรานี้ไม่ช่วยเรา
คราวนี้เราตายแน่ เพราะฉะนั้นนางอุตตราจึงชื่อว่า
มีคุณต่อเรามากมาย รู้สึกตัวแล้ว
จึงขอโทษขอขมาโทษต่อนางอุตตรา
นางอุตตราก็เป็นผู้ฉลาด
เอ้อ..ท่านจะมาขอโทษกับเรานี้ไม่ได้ดอก
ควรจะไปขอโทษกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านู่น เพื่อนว่า
วันพรุ่งนี้แหละเราได้นิมนต์พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
มาฉันภัตตาหารในที่นี้ เธอจงกลับไปบ้าน
แล้วรุ่งเช้านำอาหารมาถวายทานร่วมกัน
แล้วบัดนั้นเราจะพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
นางสิริมาก็นำอาหารมาในวันรุ่งขึ้นเสร็จ
นางอุตตราก็พานางสิริมาเข้าไปกราบไหว้พระพุทธเจ้า
ไปทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พระองค์ทรงทราบแล้ว
พระองค์ทราบแล้วพระองค์ก็แสดงธรรมแนะนำสั่งสอนเข้าไป
จบลงนางสิริมาก็ได้บรรลุโสดาบัน
พอนางได้บรรลุโสดาบันแล้วทีนี้ก็เลี้ยงพระ
วันละแปดองค์ แปดองค์ นิมนต์พระไปฉันภัตตาหาร
ที่บ้านวันละแปดรูป ทุกวัน แต่ว่าอายุเพื่อนสั้นซะแล้ว
เอาไปเอามาป่วยลงไป ไม่นานก็เลยถึงแก่กรรมไป
อันนี้ที่พูดให้ฟังหมายความว่า
"คุณธรรมของพระโสดาบัน" ท่านเห็นแจ้ง
ในร่างกายนี่ว่าเป็นของว่างเปล่าจากสัตว์จากบุคคล
แล้วเหตุนั้นท่านจึงบรรเทาความโลภ โกรธ หลง อันนี้ลงได้
ไม่มีพยาบาทจองเวรใคร
เพราะฉะนั้นพวกเราที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน
ก็พยายามแหละบำเพ็ญไป ภาวนาไป
ถึงไม่ได้เป็นพระโสดาบันเมื่อเรารู้แจ้ง
ในร่างกายตามเป็นจริงอย่างนี้
มันก็บรรเทากิเลสต่างๆลงไปได้เยอะแยะเลยทีเดียว
แล้วใจของเราก็จะได้ตั้งมั่นต่อบุญต่อคุณ
เพราะมองเห็นร่างกายนี้พึ่งไม่ได้แล้วนี่
เราพึ่งได้ชั่วคราวหนึ่ง พอมันหมดบุญเก่าแล้วนี่
ร่างกายก็ตั้งอยู่ไม่ได้ต้องแตกดับทำลายลงอย่างนี้นะ
พระโสดาบันนั้นท่านมองเห็นร่างกายนี้
จะพึ่งพาอาศัยร่างกายนี้ไปนานไม่ได้
เพราะเหตุนั้นจึงได้พยายามบำเพ็ญบุญกุศลเรื่อยไป
ไม่มีถอยหลังเลยพระโสดาบันนะ
รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไปอยู่อย่างนั้น เอ้า ฟังธรรมไป
ปฏิบัติทางจิตใจเรื่อยไปอย่างนั้นแหละ
นี่แหละอานิสงส์แห่งการพิจารณา
เห็นแจ้งในร่างกายตามเป็นจริง
ทำให้กิเลสตัณหาน้อยใหญ่หรือว่า
ถ้าหากใครลุ่มหลงทำบาปอะไรมาแต่ก่อนก็รู้สึกตัวได้
สามารถละบาปอันนั้นออกจากใจได้เลย ดังแสดงมา
** "นางอุตตรา" พระผู้มีพระภาคทรงประกาศยกย่องให้นางเป็น
"เอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย
ในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌานหรือผู้เข้าฌาน"
เพราะนางเข้าฌานทั้งที่ยืนอยู่ แผ่เมตตาจิตให้นางสิริมา
ขณะที่กำลังจะทำร้ายด้วยการราดน้ำเดือดๆบนศีรษะ
ทำให้น้ำเดือดๆนั้นไม่อาจทำร้ายนางได้เลย
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาโปรดคณะธรรมทาน