ปัญญาเกิดจากการเพียรเพ่งพินิจ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

 จำปาพร  

 พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...

เพราะว่า "ความดีนี่มันมีความชั่วเป็นศัตรู" มันเป็นอย่างนั้น
คันว่าเริ่มทำความดีเข้าไป เรียกว่า ความชั่วก็โผล่มาแล้ว
มารบกวนจิตใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป
บางทีก็เลยทำความดีไม่ได้ซ้ำ ใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย

โอ้ย ทีแรกคิดว่าจะไปวัดหน่อยอย่างนี้นะ
พอมีเรื่องอะไรมากระทบกระทั่งก็จิตใจหวั่นไหวเดือดร้อนเข้าไปแล้ว
โอ้ย ใจไม่ดีไม่ไปวัดหรอกคราวนี้ ก็ต้องงดไปวัดไปวากันไป
แล้วก็ไม่ได้ไปฟังธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า
ไม่ได้ไปฝึกจิตใจในที่สงบสงัด เพราะกิเลสมันรบกวนจิตใจเอา
ตนก็จิตใจดวงนี้ไม่มีอำนาจอยู่เหนือกิเลส
ก็ปล่อยให้กิเลสมันจูงไปตามประสงค์อย่างนี้นะ
มันเป็นอย่างนั้น

ถ้าหากว่าผู้รู้ตัวดีว่าในขณะนี้กิเลสมันกำเริบขึ้นมาครอบงำจิตใจของเรา
เราจะไม่ยอมให้มันครอบงำอยู่อย่างนี้ แม้เราจะไม่ได้นั่งสมาธิภาวนา
เรากำหนดเพ่งละกันอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง
ยืนอยู่ก็กำหนดละนั่นแหละ เดินไปก็กำหนดละมัน
นั่งอยู่ก็กำหนดละมัน นอนอยู่ก็กำหนดละมันอยู่อย่างนั้น
เมื่อหากว่าเราเพียรพยายามเพ่งกำหนดละมันอยู่อย่างนั้นแล้ว
มันก็ไม่ไหวละ กิเลสเหล่านั้นมันก็ทนไม่ไหวเพราะใจไม่ส่งเสริมแล้ว
มันก็ค่อยดับไปดับไปเท่านั้นเองนะ ในที่สุดอารมณ์อันชั่วร้ายเหล่านั้น
ดับไปจากจิตแล้วจิตก็สงบสบาย


ก็อย่างที่แสดงมาแล้วแต่ตอนต้นนั้นแหละ
ไอ้ปัญญามันจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะเรามีความเพียรเพ่งพินิจ
เมื่อมีเรื่องอะไรกระทบกระทั่งมา จิตใจมันหวั่นไหว
เราก็อย่าไปย่อท้อถอยหลัง สู้ทำความเพียรเพ่งพินิจ
เมื่อจับอารมณ์อันใดได้ว่า จิตใจหวั่นไหวเพราะเรื่องนี้แหละ
อย่างนี้เราก็กำหนดละมันเรื่อยไปอย่างนี้นะ ไม่ส่งเสริมมัน

ไอ้การกำหนดละอารมณ์อย่างที่ว่านั้นก็ร้อนใจบ้างแหละ
เพราะอารมณ์เหล่านั้นมันเป็น "สื่อของกิเลส"
เมื่อเรากำหนดละมัน มันก็แผลงฤทธิ์
ทำให้เกิดความรู้สึกทุกขเวทนาเกิดขึ้นในจิตใจอย่างนี้นะ
นั่น "ฤทธิ์เดชของกิเลส" น่ะ ไม่ใช่ย่อยเหมือนกันแหละ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ตอ้งหวั่นไหวกับมันน่ะ ไม่ต้องหวั่นไหว
กำหนดละมันไปเรื่อยๆ มันจะทุกขเวทนาอะไรเกิดขึ้น
ก็อดกลั้นทนทาน ไม่ย่อท้อ
อันนี้เรื่องของกิเลสมันก็เป็นอย่างนี้แหละ

เรื่องของบุญกุศลเป็นของเย็น ไอ้เราก็เทียบกันได้อยู่นี่
เพราะฉะนั้นเราจะไปปล่อยให้กิเลสมันเผาลนจิตใจอยู่อย่างนี้ทำไมเล่า
เตือนตนเข้าไปก็สู้กับกิเลสแล้วบัดนี้เพ่งพินิจกันอยู่อย่างนั้น
แล้วละกันอยู่อย่างนั้น ในที่สุดเมื่อสติสัมปชัญญะมันแก่กล้าขึ้นไปแล้ว
สมาธิมันก็ตั้งขึ้น เมื่อจิตตั้งมั่นขึ้นไปแล้ว
กิเลสเหล่านั้นมันตั้งอยู่ไม่ได้มันก็ระงับไป
อืม มันเป็นอย่างนั้น

บาดนี่เราก็ได้ปัญญาสิบาดนี่นะ ได้ปัญญาเพิ่มเติมขึ้นนะ
เรามีอุบายละอารมณ์ละกิเลสที่มันครอบงำจิตใจเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราวนั้นได้
เราก็ได้ปัญญาอีกส่วนหนึ่ง นี่ อ๋อ ต้องมีอุบายอย่างนี้ อย่างนี้ สอนจิต
จิตมันจึงจะมีกำลังเข้มแข็งละกิเลสได้อย่างนี้ เราก็รู้ตัวได้ มันเป็นอย่างนั้น
ถ้าเราไม่ทำความเพียรอย่างว่านี่น่ะ อยู่เฉยๆจะให้ปัญญามันเกิดขึ้นนี่..ไม่ได้

มันจะไม่เกิดเลย ขอให้เข้าใจ เมื่อเวลาที่เราทำการงานอะไรไปอย่างนี้นะ
แล้วมันมีเรื่องอะไรไม่ดีกระทบกระทั่งมานี่ เอ้า เราก็กำหนดรู้กัน
ทำความเพียรกำหนดละกันอยู่ในปัจจุบันนั้นเลย
เออ อันนี้มันเรื่องชั่วเนี่ยเราอย่าไปหลงใหล อย่าไปหวั่นไหวกับมัน
อย่างนี้นะเรากำหนดรู้กำหนดละมันอยู่อย่างนั้น
เมื่อหากว่ามันดับไปอย่างนี้ ใจเราก็ปลอดโปร่งขึ้นมา
เราก็รู้ได้เลยว่า อารมณ์นั้นดับไปจากจิตแล้ว
นี้ล่ะ "ปัญญา" มันย่อมเกิดขึ้นโดยอุบายที่เรามีความเพียร
เพ่งพินิจอยู่ในจิตเสมอเสมอไปเมื่อเวลามีเรื่องอะไรกระทบกระทั่งมา

เราไม่ย่อท้อ ให้เข้าใจไว้

...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"ผู้อิ่มในธรรมย่อมไม่หวั่นไหว"  

5,659







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย