ไม่มีอะไรยั่งยืนอยู่ได้เลย : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
เนี่ย "อายุสังขารของคนและสัตว์ทั้งหลาย" ก็เหมือนกันน่ะ เราก็เห็นกันอยู่โต้งๆแล้วนะ ถึงแม้จะอายุยืนอยู่ตั้งหมื่นปีก็ไม่พ้นตาย พอถึงหมดเขตแล้วก็ต้องตาย ไม่ว่าแสนปีหรืออสงไขยปีก็ตามแหละ เมื่อมันหมดเขตของมันแล้วมันก็แตกทลายลง อายุของสัตว์ทั้งหลายเหมือนกันกับแผ่นดินนี่แหละ มันไม่มีอะไรนะที่จะให้สัตว์โลกทั้งหลายที่อาศัยอยู่พื้นพิภพนี้ได้ประสบสุขยั่งยืนตลอดไป ไม่มีเลย
นี่แหละ "การเจริญปัญญา" นะ เราก็ต้องพิจารณาเหตุปัจจัยของชีวิตส่วนแคบๆนี้แล้วก็ขยายออกไปส่วนกว้างๆออกไปดูเราก็จะได้รู้ชัดเลยว่า ไม่มีอะไรยั่งยืนอยู่ได้เลย ต่างแต่ว่าบางอย่างก็มีอายุนานหน่อย บางอย่างก็มีอายุสั้นดังกล่าวมาแล้วนั่นแหละ สัตว์โลกก็เหมือนกันนะ อย่างพวกแมลงตัวเล็กๆเช่นยุงอันนี้ เขานักวิทยาศาสตร์หรือเขาผู้สังเกตการณ์แล้วมีอายุอยู่ ๗ วันเท่านั้นแหละมันก็ตาย แต่แล้วมันก็เกิดเร็วสัตว์เหล่านี้น่ะ เป็นอย่างนั้น เกิดตายเกิดตายอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นนะ พระบรมศาสดาจึงได้ทรงแนะนำสั่งสอนให้พุทธบริษัทนั้นพิจารณาด้วยปัญญาให้เห็นตามเป็นจริงดังกล่าวมานี้แล้ว พิจารณาเอาจนว่าเกิดความสังเวชสลดใจจึงจะได้ผล ถ้าพิจารณาไปเรื่อยๆเปื่อยไปอันนั้นจิตใจก็เฉยเมย ไม่มีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงอะไรในความรู้สึกทางจิตใจอย่างนี้มันก็ไม่ค่อยได้ผลน่ะ
เมื่อพิจารณาโดยเหตุโดยปัจจัยโดยอุบายแยบคายดังกล่าวมานั้นแล้ว ก็ลองมาพิจารณาถามใจตัวเองแล้วว่า การที่มาอาศัยอยู่ในโลกอันนี้นะ เป็นยังไงอะ มีความสุขมากกว่ามีความทุกข์ หรือว่ามีทุกข์มากกว่าสุข นี่เมื่อมาคำนวณลงในปัจจุบันนี้แล้วนะ เราจะรู้ได้เลยล่ะว่า มันมีทุกข์นั่นล่ะมากกว่าความสุขเลยการอาศัยอยู่ในโลกอันนี้นะ หมายความว่า อาศัยอยู่ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ใจก็ยึดถือเอาไว้ด้วยความหลง ด้วยความอยาก อันส่วนร่างกายนี้ก็ถูกแล้ว อาศัยปัจจัย ๔ ก็จึงเป็นอยู่ได้ ส่วนจิตใจนั้นก็อาศัยอวิชชาตัณหาทำให้ใจยึด เกาะโลกอันนี้ไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมันเป็นสุขมากกว่าหรือเป็นทุกข์มากกว่ากัน เราก็ต้องตอบตัวเองได้ทันทีเลยแหละ มันต้องเป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุขแน่นอน
เพราะอะไรเล่า ก็เพราะความมุ่งหมายของดวงจิตนี้นะ มันมุ่งหมายที่จะให้ตนนั้นมีความสุขสม่ำเสมอตลอดไป ไม่อยากพบเลยต่อความทุกข์นี่ นี่เป็นความมุ่งหมายของดวงจิตนี้ ทีนี้มันก็ไม่ได้สมหวังอย่างที่ความรู้สึกนึกคิดของดวงจิตนี้ เพราะฉะนั้นแหละมันจึงได้เป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข เป็นสุขก็สุขอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่มีทุกข์นั้นเป็นเจ้าเรือนอยู่ในชีวิตอันประกอบไปด้วยความหลงนี้ เว้นเสียแต่ “ท่านผู้รู้” ทั้งหลาย ท่านเจริญสมถวิปัสสนาแล้ว ท่านก็มารู้แจ้งโลกนี้ตามเป็นจริง แล้วก็ปล่อยวางความยึดความถือเสีย ไม่ถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของของเรา เพียงแต่ว่าอาศัยอยู่ชั่วคราวชั่ววิบากกรรมมันยังไม่หมดเท่านี้ อาศัยอยู่ไปชั่วเมื่อวิบากกรรมมันหมดลงไปแล้ว ท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานไป ก็ไม่ต้องมาเกิดอาศัยทุกข์ทนทรมานอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"สอนให้รู้จักวิธีอบรมตน"