บทสวดทิพย์มนต์ [ต้นฉบับ] โดย ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ

 Webmaster  


#ทิพย์มนต์ บทสวดของท่านพ่อลี ธมฺมธโร บทนี้ได้เขียนเป็นสายบรรทัดเครื่องจูงใจของผู้ปฏิบัติให้บรรลุถึงความบริสุทธิ์ เพราะมนต์บทนี้ย่อมให้ผลดีแก่ผู้ที่สวดท่อง เพราะเป็นเรื่องในตัวของเราเอง ธรรมดาคนที่เกิดมาย่อมอาศัยอยู่ในธาตุทั้ง ๖ ธาตุเหล่านั้นสะสมขึ้นด้วยการกระทำของตนเอง ดีบ้าง ชั่วบ้าง

เมื่อเป็นเช่นนี้ธาตุเหล่านี้ย่อมลงโทษแก่ผู้อาศัยอยู่เปรียบเหมือนกับเด็ก มันเป็นสิ่งที่คอยรบกวนใจอยู่เสมอ

ฉะนั้นการสวดมนต์ก็เท่ากับว่าเราเลี้ยงเด็กบำรุงเด็กให้ได้รับความสมบูรณ์ เมื่อเด็กได้รับความสมบูรณ์เช่นนั้นแล้ว ผู้ใหญ่ย่อมได้รับความสะดวกสบาย ฉะนั้นถ้าใครเสกบ่นเท่ากับว่า เราเลี้ยงเด็กแล้วด้วยอาหาร เรากล่อมเด็กแล้วด้วยเพลงอันไพเราะ คือ พุทธคุณ อำนาจพุทธคุณนี้ อาจจะทำธาตุของตนให้บริสุทธิ์ขึ้นเป็นธาตุกายสิทธิ์ เหมือนแร่ธาตุที่มีอยู่ในโลก ย่อมแล่นหรือดึงดูดถึงกันได้ทุกวินาที หรือเปรียบเสมือนสายไฟฟ้า ส่วนมนต์คาถาที่สวดเปรียบเหมือนกระแสไฟมุ่งไปทิศใด ย่อมถึงที่นั้นๆ อาจที่จะทำให้ดินฟ้าอากาศเป็นมงคล

ความเป็นมาของทิพย์มนต์

เพราะมนต์หมวดนี้เป็นมนต์กบิลฤาษีปนอยู่ด้วยตามเรื่องที่เล่าไว้ ดังนี้

ในอดีตกาล มีฤาษีตนหนึ่งไปเจริญทิพยมนต์ อยู่ในป่าสัก ณ ประเทศอินเดียตามตำนานเล่าว่า ในป่านั้นเป็นมหามงคล เช่น ต้นไม้ทั้งหลายสับเปลี่ยนกันเกิดดอกออกผล อยู่ตลอดทุกฤดูกาล มีน้ำใสสะอาด สัตว์ตัวไหนเจ็บป่วยวิ่งผ่านเข้าไปได้กินน้ำในที่นั้น อาการป่วยนั้นก็จะสูญสิ้นไป สัตว์ที่ดุร้ายและโหดร้ายเบียดเบียนกัน
เมื่อเข้าไปผ่านในสถานที่นั้นก็ราวกับว่าเป็นเพื่อนเป็นมิตรกันเอง สัตว์ทั้งหลายก็อาศัยป่านั้นอยู่โดยความรื่นเริง ถ้าหากว่าความตายจะมาถึงตนก็ต้องดิ้นรนไปตายที่อื่น ในที่นี้พวกชาวศากยสกุลวงศ์ของพระพุทธเจ้า ได้ไปตั้งเมืองหลวงในนั้นเรียกว่า กรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งยังเป็นบ้านเมืองมาจนบัดนี้ (เนปาล)

นี่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกบิลฤาษีได้ไปเจริญทิพยมนต์อยู่ในที่นั้น วิธีเจริญของฤาษีตนนั้น

๏ วาระแรกเขาได้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกได้เจริญมนต์หมวดนี้อยู่ ตลอด ๗ วัน
๏ วาระที่ ๒ เขาหันหน้าไปทางทิศอุดร
๏ วาระที่ ๓ เขาได้หันหน้าไปทางทิศ ใต้
๏ วาระที่ ๔ เขาได้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
๏ วาระที่ ๕ เขาได้หันหน้าลงไปทาง ใต้พื้นปฐพี
๏ วาระที่ ๖ เขาได้ยกมือแหงนหน้าขึ้นไปในอากาศ ทำจิตให้สะอาดเอารัศมี ของดวงดาวเป็นนิมิต
๏ วาระที่ ๗ เขาได้เจริญอานาปาน์ปล่อยลมของเขาเองออก ทุกทิศ โดยอำนาจแห่งกำลังจิตที่ประกอบด้วยพรหมวิหารทั้ง ๔ ที่เรียกว่า “ทิพยมนต์” ดังเล่ามานี้ตามเรื่องของชาวอินเดียเล่าให้ฟัง

ต่อจากนั้นก็ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ด้วยคุณธรรมอันเลิศ จนพระองค์สามารถจะเสกธาตุของพระองค์เองให้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าธาตุใดๆ เช่น พระบรมธาตุอันเป็นธาตุกายสิทธิ์ซึ่งมีปรากฏอยู่ในผู้เคารพนับถือ ได้ทราบข่าวว่าเสด็จมาบ้าง เสด็จหนีบ้างซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาก สิ่งเหล่านี้ก็สำเร็จมาจากดวงจิตอันบริสุทธิ์นั่นเอง เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้วธาตุทั้ง ๖ ก็พลอยบริสุทธิ์ได้ด้วย

เมื่อธาตุเหล่านี้เนื่องอยู่ด้วยโลก อาจจะทำโลกให้ได้รับความ
ชุ่มเย็นไปด้วยก็ได้ เพราะธาตุทั้งหมดย่อมต่อเนื่องถึงกัน ถ้าพวกเราพุทธบริษัทตั้งใจประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น เชื่อแน่ว่าต้องได้รับผลดีตามจำนวนของปริมาณ ถ้าหากว่าจิต มิได้ฝึกหัดในทางนี้ มัวแต่สะสมความชั่วใส่ตน จิตก็ต้องเดือดร้อน

“จิตดีโลกก็ต้องดี จิตชั่วโลกก็ต้องชั่ว”

ฉะนั้นจึงได้เขียนแนวทางอบรมดวงจิตเพื่อสร้างความร่มเย็นต่อไป

-----------------------------------------------------------------
ประวัติท่านพ่อลี ธัมมธโร

“หลวงพ่อลี ธัมมธโร” หรือ “ท่านพ่อลี” แห่งวัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เป็นศิษย์สายวิปัสสนากัมมัฏฐานอันดับต้นของ “พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” บูรพาจารย์สายพระป่า

ริเริ่มและสร้างวัดอโศการาม จนเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงมาจวบถึงปัจจุบัน เป็นที่เคารพศรัทธาของลูกศิษย์ลูกหาและสาธุชนทั่วไป แม้แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี ยังมาฝากตัวเป็นศิษย์

ชาติภูมิ เป็นชาวบ้านหนองสองห้อง อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี เกิดเมื่อ วันที่ 31 ม.ค. 2449

การให้ชื่อวัดว่า “วัดอโศการาม” ท่านประสงค์จะให้เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงคุณพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ของอินเดีย ที่ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนามายังแถบเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ได้ก่อสร้างรูปเหมือนพระเจ้าอโศกมหาราช และสร้างเสนาสนะต่างๆ จนพัฒนาเป็น “วัดอโศการาม” ที่รุ่งเรืองเป็นที่ศรัทธาของพุทธศาสนิกชน มาจนทุกวันนี้

หลวงพ่อลีนับเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบ เป็นพระเกจิ สายกัมมัฏฐานที่เคร่งครัด เข้มขลัง และ ทรงอภิญญา เป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาส นิกชนทั่วหล้า

สมณศักดิ์สุดท้าย ในปี พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระสุทธิธรรมรังสี

ท่านมรณภาพ เมื่อปี พ.ศ.2504 สิริอายุ 55 ปี 3 เดือน พรรษา 35

หากผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้


11,745






จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย