โทษข้อที่ ๒ เหล้าเป็นเหตุก่อวิวาท
ท่านคงจะเคยเห็นมาบ้าง คนที่ดื่มเหล้า แล้วชอบชวนทะเลาะไม่เลือกหน้า
เมาเหล้า แล้วตะโกนด่าใครๆ ตามตรอกตามซอย
เมาเหล้า แล้วเอานายมาด่าว่าสาดเสียเทเสีย
เมาเหล้า แล้วพูดลวนลามผู้หญิง ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร
เมาเหล้า แล้วท้าชก ท้าต่อย แม้กับเด็กๆปูนลูกปูนหลาน
หรือเมาเหล้า อวดดี ท้าตีกับพระทั้งวัด
แล้วก็มีบางคน พลอยเห็นว่า เหล้าเป็นของวิเศษ ทำให้คนกล้า ที่ว่าเหล้าทำให้คนกล้านั้น
เป็นความจริง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสว่า เหล้าทำให้คนขลาด แต่ตรัสว่า เหล้าเป็นเหตุก่อ
วิวาท
เราลองมาพิจารณากันดูอย่างเป็นกลางว่า ความกล้าที่เราได้รับจากเหล้านั้น ใช้ได้จริงหรือไม่
ความกล้าเป็นคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของคน ใครมีไว้แล้ว ดีกว่าความขี้ขลาดตาขาว แต่ว่า
เมื่อเรามีความกล้าแล้ว จะต้องมีสิ่งหนึ่งคอยกำกับ หรือควบคุม เพื่อให้ความกล้านั้น แสดงออก
ในทางที่ไม่เป็นโทษ เหมือนดาบคมก็ต้องมีฝัก จึงจะไม่มีอันตราย สิ่งกำกับความกล้า ได้แก่
คุณธรรมที่เรียกว่า "สติ" ความระลึกได้
กล้า - มีสติ จึงเรียกว่า กล้าหาญ
ถ้ากล้า โดยไม่มีสติกำกับ เขาเรียกว่า ความบ้าบิ่น ไม่ใช่ความกล้า คนเรามักจะเข้าใจผิด เอา
ความบ้าบิ่นมาเป็นความกล้า คือเห็นใครทำอะไรได้ เกินกว่าคนสามัญ ก็ยกกันว่ากล้าความ
จริง การทำอะไร ผิดจากคนสามัญนี้ อาจทำไปโดยฤทธิ์อย่างอื่นก็ได้ คนที่ทำอะไรแผลงๆ
เลยขีด คนสามัญ เราก็เห็นกันทั่วไป และก็รู้จักกันอยู่แล้วว่า ไม่ใช่คนดี วิเศษเสมอไปทีนี้
เหล้าที่คนดื่ม เข้าไปนั้น เป็นเครื่องทำลายสติ คือทำให้สติฟั่นเฟือน ลืมตัว และหมดสภาพ
ที่เป็นตัวของตัวเอง คนเราพอสติพิกลพิการไปแล้ว ก็ทำอะไรแผลงๆได้ทุกคน ถ้าเราจะถือว่า
การทำเช่นนั้น เป็นความกล้าที่ดีแล้ว ก็นับว่าเป็นการเข้าใจผิด เพราะความกล้า เช่นนั้น ไม่มี
ประโยชน์อะไรเลยแก่ชีวิตของเราและแก่ใครๆ นอกจากเป็นทางนำความร้าวรานมา สู่สังคม
เท่านั้น รวมความแล้ว เหล้าแทนที่จะทำให้ผู้ดื่มเป็นคนกล้า ดังที่บางคนชอบอ้าง แต่กลับทำ
ให้ ผู้ดื่มจนเมาแล้ว ชอบพูดพล่ามกวนใจคนอื่น และเข้าใจผิดในตัวเองว่า เป็นผู้มีฤทธาศักดา
เดช เหนือมนุษย์ทั้งหลาย กลายเป็นคนชอบก่อการทะเลาะวิวาท หลักฐานพยาน มีอยู่ถมไป
หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวให้อ่านอยู่ แทบมิเว้นแต่ละวัน ว่าเมาแล้วตีกัน เมาแล้วฆ่ากัน เมาแล้วชก
ต่อยกัน มีอยู่เสมอ
พระดำรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า "เหล้าเป็นเหตุก่อวิวาท" ซึ่งตรัสไว้เมื่อ กว่า ๒๕
ศตวรรษล่วงแล้ว ก็ยังเป็นความจริงอยู่จนบัดนี้