วัดศรีสุดาราม วรวิหาร (วัดชีปะขาว) กรุงเทพมหานคร





วัดศรีสุดาราม วรวิหาร (วัดชีปะขาว) กรุงเทพมหานคร พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดวรวิหาร สังกัดคณะสงฆ์ : มหานิกาย
วันตั้งวัด : พ.ศ. 2300
วันรับวิสุงคามสีมา : พ.ศ. 2410


วัดศรีสุดาราม Wat Sri Sudaram Worawihan ( วัดชีปะขาว Wat Chi Pa Khaow ) เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหารตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยฝั่งตะวันตก เลขที่ 83 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

วัดนี้เดิมเป็นวัดโบราณ ชื่อวัดชีปะขาว หรือวัดชีผ้าขาว บางทีเรียกวัดปะขาวก็มี สันนิษฐานว่าสร้างมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว) ซึ่งเป็นพระพี่นางเธอของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์มาแต่ในรัชกาลนั้น ครั้นล่วงมาน้ำได้เซาะตลิ่งพังเข้ามาจนถึงหน้าพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาขุนมนตรีเป็นแม่กองสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่โดยเลื่อนขึ้นจากที่เดิม ทรงโปรดให้เจ้าพนักงานปักกำหนดเขตรอบโรงพระอุโบสถลงใหม่ใช้แทนวิสุงคามสีมาเดิม โดยให้มีความยาว 15 วา กว้าง 7 วา แล้วโปรดให้ลงเขื่อนหน้าวัด เพื่อป้องกันน้ำเซาะตลิ่งจนเป็นผลสำเร็จ ครั้นการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดศรีสุดาราม ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ทั้งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชอัยยิกาเจ้าของพระองค์ ทรงสถาปนาพระราชทานไว้ตั้งแต่วันจันทร์ขึ้น 1ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ นพศกพุทธศักราช 2410 เป็นปีที่ 15 ในรัชกาล (ปลายรัชกาล) ตามพระราชโองการพระราชทานวิสุงคามสีมา ซึ่งมีหลักฐานอยู่ในพระอุโบสถ (พระอุโบสถหลังเก่าปรากฏเป็นวิหาร อยู่หน้าพระอุโบสถปัจจุบัน)

บริเวณที่ตั้งวัด

วัดมีเนื้อที่ทั้งหมด 13 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา แบ่งเป็นเขตพุทธาวาส และ สังฆาวาส เฉพาะส่วนที่เป็นธรณีสงฆ์ มีจำนวน 5 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา เมื่อก่อนใช้ศาลาการเปรียญเป็นโรงเรียนชั้นประถมศึกษาวัดศรีสุดาราม สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ครั้นต่อมาได้เปลี่ยนสังกัดไปเป็นโรงเรียนเทศบาลของเทศบาลนครธนบุรีในบัดนี้ได้สร้างอาคารโรงเรียนขึ้นใหม่ด้านหลังพระอุโบสถเมื่อปี พ.ศ. 2506 โดยเงินงบประมาณจำนวน 250,000 บาท ซึ่งยังคงเปิดสอนอยู่ ปัจจุบันนี้เป็นโรงเรียนประถมสังกัดกรุงเทพมหานคร

วัดนี้เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศึกษาของสุนทรภู่ กวีเอกของโลก เมื่อครั้งเยาว์วัย เพราะท่านได้เขียนไว้ในนิราศสุพรรณ (บทที่ 24) ว่า

วัดปะขาวคราวรุ่นรู้ เรียนเขียน
ทำสูตรสอนเสมียน สมุดน้อย
เดินระวางระวังเวียน หว่างวัดปะขาวเอย
เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย สวาทห้องกลางสวน

อนึ่ง สุนทรภู่ยังได้เอ่ยถึงวัดนี้อีกในนิราศพระประธม นอกจากนี้กวีโบราณท่านอื่น ๆ เช่น พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิทนายมี และ หลวงจักรปราณี (มหาฤกษ์) ก็ได้เคยกล่าวถึงวัดนี้ในเรื่องนิราศต่าง ๆ อีกหลายเรื่อง ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 วัดศรีสุดารามก็ได้รับการทะนุบำรุงอีก ดังปรากฏว่ามีการสร้างสะพานข้ามคลองแบบเก่า ซึ่งมีศาลาไม้หลังเล็ก ๆ คล่อมอยู่กึ่งกลางสะพานที่หน้าจั่วของศาลานั้นจารึกไว้ว่าสร้างเมื่อ ร.ศ. 128 ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 5 หลังจากนั้นไม่ปรากฏหลักฐานว่าวัดนี้ได้รับการปฏิสังขรณ์อีกเมื่อใดจนกระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบันจึงมีการบูรณะปฏิสังขรณ์และก่อนสร้างเสนาสนะต่าง ๆ อาทิพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ เขื่อนหน้าวัด และ ถาวรวัตถุอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกจำนวนมาก

ปูชนียวัตถุ ถาวรวัตถุ และเสนาเสนาะต่าง ๆ

1. พระประธานในพระอุโบสถ ปางปลงพระชนมายุสังขาร ไม่มีพระโมฬี มีแต่พระรัศมีประทับนั่งวางพระหัตถ์ทั้งสองบนพระเพลา หน้าตักกว้าง 2 ศอก 1 คืบ มีพระสาวก 8 องค์ นั่งประนมพระหัตถ์เบื้องพระพักตร์พระประธาน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงสร้างพร้อมกับการสร้างพระอุโบสถ
2. พระศรีอารีย์ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 2 ศอก ลักษณะนั่งมารวิชัยพระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวา ถือพัด เป็นลักษณะพระสาวก ประดิษฐานอยู่ที่หอไตร
3. พระเจดีย์ 5 องค์ อยู่แถวเดียนวกันด้านหลังพระอุโบสถ
4. พระปรางค์ 2 องค์ ทรงไทยโบราณ หน้าบันเป็นรูปเทพนม ลานก้านขดมีคันทวยรอบ หน้าต่างเป็นรูปซุ้ม หน้าจั่วเป็นรูปเทพนม ช่อฟ้าใบระกานาคเอี้ยว กระจังติดประดับ
5. พระวิหาร เดิมเป็นพระอุโบสถหลังเก่า ดัดแปลงเป็นวิหารมีลักษณะเป็น 8 เหลี่ยม ต่อมาสมเด็จพระมาหสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โปรดให้รื้อแล้วสร้างขี้นใหม่ในลักษณะคล้ายพระอุโบสถ ไม่มีช่อฟ้าใบระกา หน้าบันเป็นพาน 2 ชั้น มีรูป "ปิ่น" ประดิษฐานไว้บนพาน หมายถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และ มีพระพุทธรูปปางทรงเครื่องอยู่รวมกันหลายองค์
6. หอไตร ก่อด้วยอิฐถือปูน มีระเบียง 4 ด้าน หลังคามุงกระเบื้อง
7. ศาลาการเปรียญ สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้ปฏิสังขรณ์ติดต่อกันมาโดยตลอด
8. กุฏิสงฆ์ ไม่มีกุฏิถาวร ปัจจุบันทางวัดเริ่มพัฒนาปรับปรุงขึ้นมาตามลำดับด้วยแรงศรัทธาของประชาชน
9. รูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบางกอกน้อย

- สิ่งสำคัญคู่วัด -
• พระประธานในพระอุโบสถ •


{ พระอุโบสถ }
เป็นอาคารขนาด 5 ห้อง กว้างยาวประมาณ 8x14 เมตร ด้านหุ้มกลองต่อเป็นเฉลียงกว้างประมาณ 4.2 เมตร หลังคาทำเป็นมุขลดหน้า-หลัง แต่ละมุขซ้อนกัน 3 ตับ ชายคาตับสุดท้ายตั้งทวยรับชายคา มีครื่องประกอบหลังคาแบบอย่างไทยประเพณี คือ ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันทำปูนปั้นปิดทองประดับกระจกรูปเทพพนม มีลายประกอบประเภทลายช่อก้านขดรูปตัวสัตว์หิมพานต์ ใต้หน้าบันไดไม่ทำปีกนกถือประดับสาหร่ายรวงผึ้งแต่กับต่อเป็นผนังลงมาจรดกับเสาเฉลียง ซึ่งเป็นเสาสี่เหลี่ยมที่ไม่ทำบัวหัวเสาและบัวเชิงเสาประดับทำเพียงหน้ากำแพงกรุหลังกระเบื้องเคลือบสีด้านโดยรอบมีบันไดขึ้นทางด้านข้างทั้งสองข้างปลายพนัสบันไดทำหัวเม็ดทรงมัณฑ์ ฐานรับพระอุโบสถเป็นแบบฐานสิงห์บัวลูกแก้ว ตัวพระอุโบสถทำประตูทางเข้าด้านกลองด้านละ 2 ช่องแต่ละช่องทำซุ้มประตูทรงบันแถลง เช่นเดียวกับหน้าต่างหน้าบันไดบันแถลงรูปเทพพนมอยู่กลางลายเครือเถา สำหรับภายในพระอุโบสถตอนท้ายอาคารมีพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิปางพิจารณาชราธรรม เป็นประธานพระหัตถ์ซ้ายขวาวางลงบนพระชานุแต่ละข้างเบื้องหน้า มีพระสาวกนั่งพนมมือเรียงรายรวม 8 องค์ส่วนผนังนั้นปัจจุบันเขียนภาพแนวสมัยใหม่มีรูปซุ้มเรือนแก้วหลังพระประธานตอนบนเป็นภาพเทวดาเหาะ

สำหรับซุ้มหน้าต่างของพระอุโบสถเป็นไปตามประเพณีนิยมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคือซุ้มทรงบันแถลง เป็นซุ้มหน้าต่างที่ตอนบนทำเป็นรูปโค้งแหลมทรงกลีบบัวขนาดเล็กทำนองจั่วหรือหน้าบันของบ้านเรือน กรอบจัวทำเป็นเครื่องลำยองมีหน้าบันประดับลายอาจมีหรือไม่มีลายประธานที่เป็นเครื่องหมายแทนพระองค์

ส่วนเสมาใช้แบบเสมานั่งแท่นที่มีซุ้มทรงกูบครอบ ตัวเสมาทำเป็นใบที่เอวทำเป็นลูกนาคเศียรเดียว ขอบเสมาจิกเป็นรอยหยักตอนบนรวบเป็นปมแหลมสาบกลางไม่มีแต่ทำเป็นลายอุบะจากบัวคอเสื้อ


สำหรับภายในพระอุโบสถตอนท้ายอาคารมีพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิปางพิจารณาชราธรรม เป็นประธานพระหัตถ์ซ้ายขวาวางลงบนพระชานุแต่ละข้างเบื้องหน้า มีพระสาวกนั่งพนมมือเรียงรายรวม 8 องค์ส่วนผนังนั้นปัจจุบันเขียนภาพแนวสมัยใหม่มีรูปซุ้มเรือนแก้วหลังพระประธานตอนบนเป็นภาพเทวดาเหาะ


{ พระวิหาร }
เดิมใช้เป็นพระอุโบสถหลังเก่าต่อมาดัดแปลงเป็นพระวิหาร มีลักษณะเป็นแปดเหลี่ยมเป็นอาคารทรงไทย ก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง 5.06 เมตร ยาว 7.23 เมตร หลังคาไม่มีช่อฟ้า ใบระกา บริเวณหน้าบันด้านหน้าตัวอาคารเป็นลายปูนปั้นรูปปิ่นบนพานสองชั้น พระวิหารหลังนี้ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของพระอุโบสถ ปัจจุบันเดิมเคยใช้เป็นพระอุโบสถมาก่อนที่จะมีการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ พระบาทสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โปรดให้สร้างขึ้นแทนพระวิหารหลังเดิมที่รื้อถอนออกไป ภายในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย และพระพุทธรูปทรงเครื่องที่มีลักษณะพุทธศิลป์แบบรัตนโกสินทร์ตอนต้นหลายองค์


{ วิหารพระศรีอาริย์ (หอไตร) }
เป็นอาคารทรงไทยก่ออิฐถือปูนมีขนาดกว้าง 5.10 เมตร ยาว 8.80 เมต รหลังคาไม่มีช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ หน้าบันทางด้านหน้าและด้านหลังของวิหารเป็นลายปูนปั้นรูปดอกพุดตาน มีประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวที่บานประตูทั้ง 2 บาน มีภาพเขียนรูปทวารบาลปรากฏอยู่ ภายในวิหารประดิษฐานองค์พระศรีอริย์ หล่อด้วยทองสำริดขนาดหน้าตัก 2 ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ขวาวางบนพระเพลา พระหัตถ์ซ้ายถือพัด ซึ่งมีลักษณะขายตาลปัตรแต่มีด้ามจับสั้น บริเวณผนังภายในวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าผจญมาร และจิตรกรรมประเพณี 12 เดือน


{ พระศรีอารีย์ }
หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 2 ศอก ลักษณะนั่งมารวิชัย พระหัตถ์ซ้าวยวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาถือพัด


{ พระเจดีย์ 5 องค์ }
อยู่แถวเดียวกันด้านหลังพระอุโบสถ


{ ตำหนักแดง }
เป็นเรือนไทยชั้นเดียวเดิมสร้างขึ้นเป็นตำหนักที่ประทับ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระเจ้าพี่นางเธอ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในระหว่างที่เสด็จมาบำเพ็ญพระราชกุศลที่วัดแห่งนี้ ตั้งติดอยู่กับศาลาการเปรียญปัจจุบันได้ใช้เป็นกุฏิเจ้าอาวาส


{ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โตพรหมรังสี องค์ใหญ่ }
สร้างขึ้นเพื่อเป็นรูปจำลองเท่าขนาดจริงเพื่อเป็นต้นแบบในการหล่อโลหะสร้างรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) องค์ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับนำไปประดิษฐานที่ วัดโนนกุ่ม อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อดำเนินการสร้างโดย สรพงษ์ ชาตรี ศิลปินนักแสดง ที่มีจิตศรัทธาจะสร้างเป็นอนุสรณ์สถาน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) รูปจำลองนี้ทำด้วยโฟมเป็นวัสดุหลักในลักษณะการนั่งสมาธิภาวนา มือทั้งสองข้างยกขึ้นระดับอกในลักษณะกำมืออย่างหลวมๆ มีขนาดหน้าตักกว้าง 8.1 เมตร สูง 13 เมตร ทาทับด้วยสีทองทั้งองค์เมื่อสร้างรูปหล่อโลหะเสร็จแล้วจึงมีการทำลายรูปจำลองต้นแบบองค์นี้ทิ้ง พระเทพประสิทธิมนต์ (พระราชพิพัฒน์โกศล ในขณะนั้น) เจ้าอาวาสวัดเห็นว่าไม่เป็นการสมควรจึงได้ขอรูปต้นแบบองค์นี้ไว้ ให้พุทธศาสนิกชนได้เคารพบูชาปัจจุบันรูปจำลองต้นแบบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สร้างประดิษฐานอยู่บริเวณลานวัดใกล้ๆกับศาลาการเปรียญ


{ พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ }
องค์บูรณะปฏิสังขรณ์พระอารามพระราชานุสาวรีย์ หล่อด้วยโลหะเป็นพระรูป สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ขนาด 2 เท่า ของพระองค์จริงประทับบนพระเก้าอี้ ฉลองพระองค์ด้วยผ้าฝ้ายกลายทองห่มสไบเฉียงปักด้วยผ้าปัก พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางบนพระเพลา ข้างพระหัตถ์ทางด้านขวามีโต๊ะสำหรับวางเครื่องพาน พระศรีพระราชานุสาวรีย์ ประดิษฐานอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมบริเวณฝั่งตรงข้ามถนนด้านข้างของพระอุโบสถทางทิศเหนือใกล้ๆกับวิหารพระศรีอาริย์


{ อนุสาวรีย์สุนทรภู่ }
สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานแก่พระสุนทรโวหาร (ภู่) กวีเอกแห่งแผ่นดินสยามและกวีเอกของโลก ซึ่งได้เคยมาศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านอยู่ที่วัดนี้เมื่อครั้งยังเยาว์วัย จึงสร้างเป็นรูปหล่อโลหะสุนทรภู่ตอนเป็นเด็กขนาด 2 เท่า ของตัวจริงในลักษณะเด็กชายสมัยโบราณไว้จุกนั่งพับเพียบหันหน้าไปทางคลองบางกอกน้อย ในมือถือกระดานชนวนอีกข้างหนึ่งถือดินสอ รูปหล่อดังกล่าวตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมสูง 2.50 เมตร ซึ่งจะอยู่ด้านหลังของลูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) องค์ใหญ่


รูปปั้นพ่อปู่ชีปะขาว


{ วิหารพระพุทธโสธร }


{ พระปรางค์ 2 องค์ }
ทรงไทยโบราณ หน้าบันเป็นรูปเทพนม ลานก้านขดมีคันทวยรอบ หน้าต่างเป็นรูปซุ้ม หน้าจั่วเป็นรูปเทพนม ช่อฟ้าใบระกานาคเอี้ยว กระจังติดประดับ




11,548







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย