"อุบาสกสำคัญในสมัยพุทธกาล"
คำว่า "อุบาสก"
หมายถึงชายผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย คนใกล้ชิดพระศาสนา,คฤหัสถ์ชายที่แสดงตนเป็นคนนับถือพระพุทธศาสนา
โดยประกาศถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
อุบาสกสองผู้อัครอุปัฏฐาก
(ผู้อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณร) คือ จิตตคฤหบดี และหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี
ปฐมอุบาสิกา
หรืออุบาสกคนแรกในพระพุทธศาสนา หมายถึง ตปุสสะ
กับภัลลิกะ ซึ่งถึงสรณะ ๒ คือ พระพุทธเจ้าและพระธรรม
ทั้งสองเป็นพ่อค้าที่นำกองเกวียนเดินทางมาจากทุกกลชนบท
มาถึงแขวงเมืองอุรุเวลาเสนานิคม พบพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่
ณ ภายใต้ต้นไม้ราชาตนะ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ในกาลนั้นเป็นสัปดาห์ที่
๗ ที่พระพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุตติสุข (สุขเกิดแต่ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะและปวงทุกข์)
ภายหลังจากตรัสรู้ ตปุสสะ กับภัลลิกะเข้ามาถวายสัตตุผงสัตตุก้อน
(ข้าวตูเสบียงเดินทาง) เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสร็จการเสวยแล้ว
พ่อค้าทั้งสองได้กราบทุลแสดงตนเป็นอุบาสกด้วยความเลื่อมใสขอถึงพระผู้มีภาคเจ้ากับพระธรรม
ว่าเป็นสรณะตลอดชีวิต ด้วยเวลานั้นยังไม่มีพระสงฆ์ปฐม อุบาสกทั้งสองนี้จึงเป็นอุบาสกประเภท
"เทวาจิก" คือเปล่งวาจาขอถึงพระพุทธเจ้า และพระธรรมทั้งสองเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ชีวกโกมารภัจจ์
เป็นบุตรของหญิงงามเมือง ในเมืองราชคฤห์แคว้นมคธ
ครั้นคลอดแล้วถูกนำไปทิ้งที่กองขยะ เจ้าชายอภัยโอรสของพระเจ้าพิมพิสารมาพบเข้าจึงเก็บไปเลี้ยงไว้ในวัง
ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้นพอจะทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัวจึงเดินทางไปศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์
ที่เมืองตักศิลาศึกษาอยู่ ๗ ปี ครั้นสำเร็จจึงเดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์
เมื่อเสบียงหมดในระหว่างทาง
ได้แวะหาเสบียงที่เมืองสาเกตโดยไปรักษาภรรยาเศรษฐีหายจากโรคปวดศีรษะมา
๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย ภรรยาเศรษฐีหายจากโรค ให้รางวัลหมอชีวกมากมาย
ครั้นถึงพระนครราชคฤห์ ได้นำเงินและรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็นค่าปฏิการะคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา
เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลไว้เป็นของตนเอง และโปรดให้หมอชีวกสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์
ต่อมาไม่นานเจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแก่พระเจ้าพิมพิสาร
เมื่อพระองค์ทรงหายประชวรแล้ว ทรงพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง
๕๐๐ คนให้เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับโดยทูลว่า ขอให้ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น
พระเจ้าพิมพิสารจึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำพระองค์ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
หมอชีวกได้รักษาโรครายสำคัญหลายครั้งเช่น
ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในสำใส้ของบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี
รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี
และถวายการรักษาแด่พระพุทธเจ้า ในคราวที่พระบาทห้อโลหิตจากเศษหินจากก้อนศิลาที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขาเพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ
หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้าปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ 2-3 ครั้ง
เห็นว่าพระเวฬุวันวิหารที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ไกลเกินไป
จึงสร้างวัดถวายในสวนมะม่วงของตน เรียกกันว่า ชีวกัมพวัน
ครั้นเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา
หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ด้วยเหตุที่หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลคณะสงฆ์มาก
จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก
จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด
นอกจากนั้นหมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ
เพื่อเป็นที่บริหารกายช่วยรักษาสุขภาพ ของภิกษุทั้งหลาย
หมอชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสผู้เลื่อมใสในบุคคล
บิดาพระยสะ
ภายหลังจากพระปัจจวัคคีย์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ๕ องค์แรก
ในพระพุทธศาสนา แล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนายสมาณพบุตรเศรษฐีกรุงพาราณสีได้ดวงตาเห็นธรรม
ครั้นบิดาของสกุลบุตร ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ชาวบ้านเสนานิคมตำบลอุรุเวลามาตามหาลูกชายพบพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ประทับ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนา โปรดท่านเศรษฐีบิดาได้ดวงตาเห็นธรรมแสดงตนเป็นอุบาสก
สมาณพซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นได้ฟังเทศนา ซ้ำเป็นครั้งที่สองก็ได้บรรลุอรหัตตผล
ฝ่ายเศรษฐีบิดาก็กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาให้ไปรับอาหารบิณฑบาตที่เรือนของตน
แล้วถวายบังคมลากลับ เมือเศรษฐีบิดากลับแล้ว สมาณพทูลขออุปสมบท
นับเป็นภิกษุสาวกและพระอรหันต์องค์ที่ ๖ นอกจากนั้นยังเป็นพระอรหันต์องค์แรกที่อยู่ในเพศคฤหัสถ์
คือยังมิทันได้บวชก็บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์
ในเวลาเช้าวันนั้น พระบรมศาสดาก็มีพระยสะเป็นพระตามเสด็จ
๑ รูป เสด็จไปยังเรือนท่านเศรษฐีตามคำอาราธนา ประทับนั่งยังอาสนะมารดาของยสะคือ
นางสุชาดาผู้ถวายข้าวปายาส (ข้าวสุกที่หุงด้วยนมโค) ถวายแก่พระมหาบุรุษในเวลาเช้าของวันที่จะตรัสรู้
และภรรยาเก่าของพระยสะเข้าเฝ้า พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมให้สตรีทั้งสองนั้นได้ธรรมจักษุ
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ปฎิญาณตนเป็นอะบาสิกาขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะได้เป็นอุบาสิกาสองคนแรกในพระพุทธศาสนาก่อนกว่าอุบาสิกกาทั้งหลายในโลกนี้
ส่วนท่านเศรษฐีบิดาพระยสะได้เป็นอุบาสสกที่ถึงสรณะครบ
๓ คนแรก คือถึงพระรัตนตรัยอันมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
จิตตคฤหบดี
เป็นผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา ท่านผู้นี้เคยถูกภิกษุชื่อสุธรรมด่าว่าเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติปฏิสาราณียกรรม
คือการลงโทษภิกษุผู้ด่าว่าคฤหัสถ์ที่ไม่มีความผิดด้วยการให้ไปขอขมา
จิตตคฤหบดีเป็นหนึ่งในสอง อุบาสกผู้เป็นอัครอุปัฎฐากจิตตคฤหบดี
ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกธรรมกถึก (เอตทัคคะ
= เป็นผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่งธรรมกถึก
= การแสดงธรรม)
นกุลบิดา
เป็นผู้มั่งคั่งชาวเมืองสุงสุมารคีรี ในแคว้นภัคคะ มีภรรยาชื่อ
นกุลมารดา สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมายังเมืองสุงสุมารคิรีประทับที่ป่าเภสกลาวัน
ท่านคฤหบดีและภรรยาไปเผ้าพร้อมกับชาวเมืองคนอื่น ๆ พอได้เห็นครั้งแรก
ทั้งสองสามีภรรยาก็เกิดความรู้สึกสนิทหมายใจเหมือนว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุตรของตน
ได้เข้าไปถึงพระองค์และแสดงความรู้สึกนั้น พระพุทธเจ้าเป็นบุตรของตน
ได้เข้าไปถึงพระองค์และแสดงความรู้สึกนั้น พระพุทธเจ้าได้แสดงโปรดทั้งสองท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
(ผู้ถึงกระแสที่จะนำไปสู่นิพพาน) ท่านทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยาตัวอย่าง
ผู้มีความจงรักภักดีต่อกันอย่างบริสุทธิ์และมั่นยั่งยืนตราบเท่าชรา
ทั้งยังปรารถนาจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า เคยทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงหลักธรรมที่จะทำให้สามีภรรยาครองรักกันยั่งยืน
ตลอดไปทั้งภพนี้และภพหน้า
เมื่อท่านนกุลบิดาเจ็บป่วยออดแอดร่างกายอ่อนแอ
ไม่สบายด้วยโรคชรา ท่านได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งหนึ่ง ที่ท่านประทับใจมากคือ
พระดำรัสที่แนะนำให้ทำใจว่า "ถึงแม้ร่างกายของเราจะป่วย
แต่ใจของเราไม่ป่วย"
ท่านนกุลบิดาได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้สนิทสนมคุ้นเคย
พระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าแผ่นดินมคธครองราชสมบัติอยู่ที่พระนครราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารทรงเสด็จพบพระบรมโพธิสัตว์เมื่ือครั้งออกบรรพชาใหม่
ๆ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ทรงทูลขอปฏิญญากับพระมหาบุรุษว่า ถ้าพระองค์ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
(พระปรีชาญาณหยั่งรู้สิ่งทั้งปวง ทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคต)
และขอได้ทรงพระกรุณาเสด็จมายังพระนครราชคฤห์ แสดงธรรมโปรด
พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแก่พระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมาแสดงธรรมโปรดภายหลังจากทรงตรัสรู้แล้ว
พระราชอุทยานเวฬุวันเป็นสังฆาราม นับเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนาพระบรมศาสดาได้เริ่มประดิษฐานพระศาสนา
เป็นหลักฐานที่พระเวฬุวันวิหาร เกียรติศักดิ์เกียรติคุณแห่งพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่ไปในชุมนุมชนตามตำบลน้อยใหญ่ตามลำดับ
พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมากเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่สวนตาล
"ลัฏฐิวัน" ทรงสดับพระธรรมเทศนา ได้ธรรมจักษุ
ประกาศพระองค์เป็นอุบาสก
พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษาที่เวฬุวันวิหาร
ในพรรษาที่ ๒-๓-๔ พรรษาที่ ๑๗ และ ๑๙ รวม ๕ พรรษาด้วยกัน
พระเจ้าพิมพิสารถูกพระราชโอรสนามว่าอชาตศัตรู ปลงพระชนม์
มหานามศากยะ
เป็นเจ้าชายในศากยวงศ์ โอรสของพระเจ้าอมิโตทนศากยะ เป็นพี่ชายของพระอนุรุทธะ
ภายหลังพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์
มหานามศากยะได้เป็นราชาปกครองแค้นศากยะ และเป็นอุบาสกผู้มีศรัทธาแรงกล้า
ได้รับยกย่อง เป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้ถวายของประณีต
พระเจ้าอชาตศัตรู
โอรสของพระเจ้าพิมพิสารกับพระนางโกศลเทวี กษัตริย์แคว้นมคธ
ขณะพระนางทรงครรภ์ได้แพ้ท้องอยากเสวยโลหิตของพระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบจึงเอาพระขรรค์แทงพระชานุ (เข่า)รองพระโลหิตให้พระนางเสวย
โหรทำนายว่าพระโอรสที่อยู่ในครรภ์เกิดมาจะทำปิตุฆาต พระนางโกศลเทวีพยายามทำลายด้วยการให้แท้งเสียแต่ไม่สำเร็จ
ในที่สุดคิดจะรีด แต่พระเจ้าพิมพิสารทรงห้ามไว้
เมื่อครบกำหนดประสูติเป็นกุมารจึงตั้งพระนามโอรสว่าอชาตสัตรู
แปลว่า เป็นศัตรูตั้งแต่ยังไม่เกิด (บางท่านแปลใหม่ว่า
มิได้เกิดมาเป็นศัตรู) ในที่สุดเจ้าชายอชาตศัตรูก็คบคิดกับพระเทวทัตฆ่าพระราชบิดาตามที่โหรทำนายไว้
และได้ขึ้นครองราชสมบัติแคว้นมคธ ณ กรุงราชคฤห์แต่ทรงสำนึกและกลับพระทัยได้
หันมาทรงอุปภัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา และได้เป็นพุทธศาสนูปถัมภก
ในการสังคายนาครั้งที่ ๑
อนาถบิณฑิก
เป็นเศรษฐีอยู่ที่เมืองสาวัตถี ต่อมาได้นับถือพระพุทธศาสนา
บรรลุโสดาปัตติผล เป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า สร้างพระเชตุวันมหาวิหารอันยิ่งใหญ่
ถวายแด่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับจำพรรษารวมทั้งหมดถึง
๑๙ พรรษา (สลับกับบุพพารามที่อยู่ใกล้ชิดติดกัน ณ เมืองสาวัตถี)
ท่านอนาถบิณฑิกนอกจากอุปภัภ์บำรุงพระภิกษุสงฆ์แล้วยังได้สงเคราะห์คนยากไร้อนาถาอย่างมากมายเป็นประจำ
จึงได้ชื่อว่าอนาถบิณฑิก ซึ่งแปลว่า ผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา
ท่านได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในหมู่ทายกฝ่ายอุบาสก (ทายก
= ผู้ให้)
|