"พระเถรีสำคัญในสมัยพุทธกาล"
พระภิกษุณีสงฆ์ผู้เป็นกำลังสำคัญในการเผลแผ่พระพุทธศาสนา
ในสมัยพุทธกาล นับจากภิกษุณีสงฆ์องค์แรกคือ ประนางมหาปชาบดีโคตม
และ พระอัครสาวิกา ทั้งสอง คือ พระเขมาและพระอุบลวรรณ
มีดังนี้
มหาปชาบดีโคตมี
เป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า เดิมเรียกว่าพระนางปชาบดี
เป็นธิดาของพระเจ้าอัญชนะแห่งโกลิยวงศ์ และเป็นพระภคินีของพระนางสิริมหามายา
เมื่อพระนางสิริมหายาพระมารดาของพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว
พระเจ้าสุทโธนะราชกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ได้มอบสิทธัตถกุมารให้พระนางเลี้ยงดู
ต่อมาเมื่อพระเจ้าสุทโธทนะสวรรคตแล้ว พระนางได้ออกบวชเป็นภิกษุณีองค์แรก
ในพรรษาที่ ๕ ก่อนพุทธศักราช ๔๐ ปี พระมหาเถรีมหาปชาบดีโคตมีได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู
(บวชนารู้เหตุก่อนใคร ๆ)
พระเขมา
พระเถรีมหาสาวิกาเขมา ประสูติในราชตระกูลแห่งสาคลนครในมัททรัฐ
ต่อมาให้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธครองราชสมบัติอยู่ที่พระนครราชคฤห์
มีความมัวเมาในรูปสมบัติของตรได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนาเรื่องราคะ
และการกำจัดราคะ พอจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุพระอรหัต แล้วบวชเป็นภิกษุณี
ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางมีปัญญามาก และเป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา
อุบลวรรณา
พระเถรีมหาสาวิกาอุบลวรรณา เป็นธิดาเศรษฐีในพระนครสาวัตถี
ได้ชื่อว่าอุบลวรรณาเพราะมีผิวพรรณดังดอกนิลุบล (อุบลเขียว)
เป็นสตรีผู้มีรูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง จึงเป็นที่ปรารถนาของพระราชาในชมพูทวีปหลายพระองค์
ต่างส่งคนมาติดต่อทาบทามกับ ท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดา ก่อให้เกิดความลำบากใจมาก
จึงคิดจะให้ธิดาบวชพอเป็นอุบาย แต่นางเองพอใจในบรรพชาอยู่แล้ว
จึงบวชเป็นภิกษุณี ด้วยศรัทธาอย่างจริงจัง คราวหนึ่งอยู่เวรจุดประทีปในพระอุโบสถ
นางเพ่งดูเปลวประทีปถือเอาเป็นนิมิตเจริญญานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ได้บรรลุพระอรหัต
พระมหาสาวิกาอุบลวรรณา ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคะ ในทางแสดงฤทธิ์ได้ต่าง
ๆ และเป็นอัครสาวิกาฝ่ายซ้าย
กีสาโคตมี
พระเถรีสำคัญองค์หนึ่งเดิมเป็นธิดาคนยากจนในพระนครสาวัตถี
แต่ได้เป็นลูกสะใภ้ของเศรษฐีในพระนครนั้น นางมีบุตรชายคนหนึ่ง
อยู่มาไม่นานบุตรชายตายนางมีความเสียใจมาก อุ้มบุตรที่ตายแล้วไปในที่ต่าง
ๆ เพื่อหายาแก้ให้ฟื้น จนได้พบพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนด้วยอุบายและทรงประทานโอวาท
นางได้ฟังแล้วบรรลุโสดาปัตติผลบวชในสำนักนางภิกษุณี วันหนึ่งนั่งพิจารณาเปลวประทีปที่ตามอยู่ในพระอุโบสถ
ได้บรรลุพระอรหัต พระเถรีกีสาโคตมีได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางจีวรเศร้าหมอง
ธัมมพินนา
พระเถรีมหาสาวิกาธัมมทินนาเป็นกุลธิดาชาวพระนครราชกฤห์
เป็นภรรยาของวิสาขเศรษฐี มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
บวชในสำนักนางภิกษุณียำเพ็ญเพียรไม่นานก็ได้สำเร็จพระอรหัตพระเถรีธัมมทินาได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางเป็นธรรมกถึก
ปฏาจารา
พระมหาสาวิกาปฏาจาราเป็นกุลธิดาเศรษฐีในพระนครสาวัตถี
ได้รับวิปโยคทุกข์อย่างหนักเพราะสามีและลูกตาย พ่อแม่พี่น้องตายหมด
ในเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นฉับพลันทันทีและติดต่อกัน ถึงกับเสียสติปล่อยผ้านุ่งผ้าห่มหลุดลุ่ยเดินบ่นเพ้อไปในที่ต่าง
ๆ จนถึงพระเชตวันมหวิหาร พระศาสดาทรงแผ่เมตตา เพปล่งพระวาจาให้นางกลับได้สติ
แล้วแสดงพระธรรมเทศนา นางได้ฟังแล้วบรรลุโสดาปัตติผล บวชเป็นพระภิกษุณี
ไม่ช้าได้สำเร็จพระอรหัต พระเถรีมหาสาวิกาปฏาจาราได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางทรงพระวินัย
ภัททกาปิลานี
พระมหาสาวิกาภัททกาปิลานี เป็นธิดาพราหมณ์โกสิยดคตรในสาคลนครแห่งมัททรัฐเมื่ออายุ
๑๖ ปีได้สมรสกับปิปผลิมาณพตามความประสงค์ของมารดาบิดา
แต่ไม่มีความยินดีในชีวิตครอบเรือน ต่อมาทั้งสามีภรรยาได้สละเรือน
นุ่งห่มผ้ากาสวะออกบวชกันเองเดินออกจากบ้านแล้วแยกกันที่ทางสองแพร่ง
ปิปผลิมาณพเดินทางต่อไปจนพบพระพุทธเจ้าที่พหุปุตตกนิโครธ
ได้อุปสมบท ครั้นล่วงไป ๗ วันก็ได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระมหาสาวกนาม
พระมหากัสสปะ ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงค์
ส่วนนายภัททกาปิลานีออกบวชเป็นปริพาชิกา
(นักบวชนอกพระพุทธศาสนา)ต่อมาเมื่อพระมหาปชาบดีผนวชเป็นภิกษุณีแล้ว
นางภัททกาปิลานีได้มาบวชอยู่ในสำนักของพระมหาปชาบดี เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยความไม่ประมาท
ได้บรรลุพระหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปุพเพนิวาสานุสสติ
ภัททา
กัจจนา พระมหาสาวิกาภัททา กัจจานา เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะแห่งโกลิยวงศ์
พระนามเดิมว่า "ยโสธรา" หรือ "พิมพา"
อภิเษกสมรสกับเจ้าชายสิทธัตถะเมือพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา
เป็นพระมารดาของพระราหุลพุทธชิโนรส ได้นามว่า ภัททา กัจจานาเพราะทรงมีฉวีวรรณดุจทองคำเนื้อเกลี้ยง
บวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาเจริญวิปัสนากัมมัฏฐานไม่ช้าก็สำเร็จเป็นอรหัจ
พระมหาสาวิกาภัททา กัจจานา ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางบรรลุมหาภิญญา
พระนางทรงเป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า
ภัททา
กุณฑลเกสา พระมหาสาวิกาภัททากุณฑลเกสาเป็นธิดาของเศรษฐีในพระนครราชคฤห์
เคยเป็นภรรยาโจรผู้เป็นนักโทษประหารชีวิต โจรคิดจะฆ่านางเพื่อเอาทรัพย์สมบัติ
แต่นางใช้ปัญญาคิดแก้ไขกำจัดโจรได้ แล้วบวชในสำนักนิครนถ์
(นักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่เป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตร ,
นักบวชในศาสนาเชน) ต่อมาได้พบกับพระสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า
ได้ถามปัญหากันและกัน จนนางมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ต่อมาได้ฟังธรรมเทศนาที่พระศาสดาทรงแสดงได้สำเร็จพระอรหัต
แล้วบวชในสำนักนางภิกษุณี พระมหาสาวิกาภัททา กุณฑลเกสาได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้มาจากตระกูลสูง
สิคาลมาตา
พระมหาสาวิกาสิคาลมาตาเป็นธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ เจริญวัยแล้วแต่งงานมีบุตรคนหนึ่งชื่อ
สิงคาลกุมารวันหนึ่งได้ฟังธรรมีกถาของพระศาสดา มีความเลื่อมใสศรัทธา
ขอบวชเป็นภิกษุณี ต่อ มาได้ไปฟังธรรมเทศนาที่พระศาสดาทรงแสดงนางคอยตั้งตาดูพระพุทธเจ้า
สิริสมบัติด้วยศรัทธาอันแรงกล้า
พระพุทธองค์ทรงทราบดังนั้นก็ทรงแสดงธรรมให้เหมาะกับอัธยาศัยของนาง
นางส่งในไปตามกระแสพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุพระอรหัต พระมหาสาวิกาสิคาลมาตาได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางศรัทธาธิมุต
โสณา
พระมหาสาวิกาโสณาเป็นธิดาของผู้มีตระกูลในพระนครสาวัตถี
นางแต่งงานมีสามีและมีบุตร ๑๔ คน เป็นชาย ๗ คน และ หญิง
๗ คน ภายหลังสามีถึงแก่กรรม ลูกชายหญิงก็แต่งงานมีเรือนกันไปหมด
จึงออกบวชเป็นภิกษุณี มีความเพียรอย่างแรงกล้า เจริญวิปัสสานาอยู่เรือนไฟได้ฟังพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดาได้บรรลุพระอรหัตพระมหาสาวิกาโสณาได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปรารภความเพียร
อโนชา
พระมหาสาวิกาอโนชาเป็นพระอัครมเหสีของกษัตริยืผู้ครองราชสมบัติในนครกุกกุฏวดีในปัจจันตประเทศ
ได้ทราบข่าวการอุบัติของพระพุทธเจ้าแล้วบังเกิดปีติศรัทธา
สละราชสมบัติทรงม้าเดินทางไกลถึง ๓๐๐ โยชน์ (๔,๘๐๐ กิโลเมตร)
มาเฝ้าพระพุทธเจ้าสดับธรรมกถา บรรลุพระอรหัตแล้วได้อุปสมบท
เป็นพระมหาสาวกองค์หนึ่งมีพระนามว่าพระมหากัปปินะ ส่วนพระนางอโนชา
เมื่อทราบข่าวการอุบัติของพระพุทธเจ้าก็เกิดปีติและศรัทธาเช่นเดียวกัน
พระนางทรงรถเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรมบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว
รับพรรพชาจากพระอุบลวรรณาเถรีไปอยู่ในสำนักภิกษุณี
|