"พระวิหารที่ประทับของพระพุทธเจ้า"
ในระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ
พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับจำพรรษา ณ พระวิหารต่าง ๆ
ซึ่งพอจะประมวลไว้ได้ดังนี้
๑.กูฏาคาร เป็นพระอารามที่ประทับในป่ามหาวัน เป็นป่าใหญ่ใกล้เมืองเวสาลี
แคว้นวัชชี ในพรรษาที่ ๕ ภายหลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษา
ณ กูฏาคารในป่ามหาวัน นครเวสาลี
๒.
โฆสิตาราม เป็นชื่อวัดสำคัญในกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ
ในพรรษาที่ ๙ ภายหลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษา
ณ พระอารามแห่งนี้ ในบางคัมภีร์ระบุว่าเมื่อพระพุทธเจ้าทรงประทับที่กรุงโกสัมพีทรงพำนักที่โฆสการาม
อันเป็นอารามที่โฆสกเศรษฐีสร้างถวาย
๓.จันทนศาลา เป็นศาลาไม้จันทน์แดง ในมกุฬการาม
แคว้นสุนาปรันตะ พระมหาสาวกปุณณสุนาปรันตะ ซึ่งจำพรรษาที่วัดมกุฬการาม
ได้แนะนำให้น้องชายของท่านและพ่อค้ารวม ๕๐๐ คน แบ่งไม้จันทร์แดงที่มีค่าสูงสร้างถวายพระพุทธเจ้า
แล้วทูลอาราธนาเสด็จมายังแคว้นสุนาปรันตะ พระพุทธเจ้าได้ประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมฝังแม่น้ำนัมมทาและที่ภูเขาสัจจพันธ์
อันนับว่าเป็นการเกิดขึ้นของรอยพระพุทธบาท
๔.ชีวกัมพวัน หมอชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์ประจำประองค์พระพุทธเจ้า
และประจำพระภิกษุสงฆ์ อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นมหาอุบาสกสำคัญได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล
หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันและด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า
ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง ในกาลนั้น พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษา
ณ พระเวฬุวันวิหารพระนครราชคฤห์ หมอชีวกเห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไป
จึงสร้างวัดถวายในอัมพวัน คือสวนมะม่วงของตน เรียกกันว่า
ชีวกัมพวัน (อัมพวันของหมอชีวก) อยู่ในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
๕.เชตวันมหาวิหาร เป็นมหาวิหารที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์
ตั้งอยู่ทางใต้ของนครสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศลเป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับจำพรรษานานที่สุดในระหว่างเวลา
๔๕ ปี แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ ชื่อเชตวัน ได้จากพระนามของเจ้าชายเชตะ
ซึ่งเป็นพระญาติสนิทของของพระพุทธเจ้า เสนทิราชาผู้ครองแคว้นโกศล
สำหรับประวัติของมหาวิหารเชตวันมีดังนี้
มหาเศรษฐีแห่งนครสาวัจถี ตระกูลสุทัตตะ นามอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เป็นพ่อค้าเดินทางไปมาระหว่างนครราชคฤห์กับนครสาวัตถีคราวหนึ่งได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่นครราชคฤห์
ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จประทับ
ณ นครสาวัตถี
อนาถบิณฑิกเศรษฐีกลับนครสาวัตถีแสวงหาที่ดินแปลงใหญ่ได้แปลงหนึ่ง
ใกล้ตัวเมืองเป็นที่เหมาะแก่การโคจร และเป็นที่ตั้งแห่งความสงบได้
โดยทราบว่าเป็นสมบัติของเจ้าชายเชตะจึงขอซื้อ เจ้าชายอ้างว่าจะสงวนไว้เป็นที่เที่ยวเล่นไม่ยอมขาย
เศรษฐี เฝ้าอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า เจ้าชายรำคาญแสร้งว่าต้องเอาเหรียญทองมาเกลี่ยเรียงให้เต็มแปลงก็จะขายให้
อนาถบิณฑิกเศรษฐียอมตามด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าสั่งคนใช้ให้ขนเหรียญทองคำมาปูจเต็มแปลง
เจ้าชายเชตะกลับเห็นใจรับสั่งว่า ขอร่วมศรัทธาในพระพุทธเจ้าด้วย
จึงขอลดราคาลงไปเพียงครึ่งเดียว ให้เศรษฐีนำเหรีญทองคำกลับไปเสียครึ่งหนึ่ง
ขอร่วมบุญด้วยอีกครึ่งหนึ่ง
อนาถบิณฑิกเศรษฐี กับเจ้าชายเชตะร่วมกันบัญชางาน ให้หักร้างถางที่ทำเป็นอุทยานใหญ่จนเป็นที่รื่นรมย์แล้ว
ให้สร้างมหาวิหาร ๗ ชั้นมีกำแพงและคูเป็นขอบเขต ภายในบริเวณปันเป็นส่วนสัด
มีคันธกุฎี (แปลว่า กุฎีอบกลิ่มหอม เป็นชื่อเรียกพระกุฏีที่ประทับของพระพุทธเจ้า)
มีที่จำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ มีที่เจริญธรรม ที่แสดงธรรม
ที่จงกรมที่อาบ ที่ฉันครบถ้วนควรแก่สมณบริโภค อนาถนิณฑิกเศรษฐีสิ้นทรัพย์ไปในการณ์นี้
๓๖ โกฎิกหาปณะ (โกฏิ = สิบล้าน กหาปณะ = ๔ บาท)
จากจดหมายเหตุของหลวงจีนฟาเหียน สมณทูตจีน เล่าเรื่องซากปรักพังของมหาวิหารเชตวัน
เมื่อประมาณพุทธศักราช ๙๔๒ ไว้ดังนี้
"ออกจากบริเวณเมืองสาวัตถีไปทางประตูทิศใต้ เดินไปประมาณ
๒,๐๐๐ ก้าว สู่ทางตะวันออกของถนนใหญ่ พบวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ซากที่ยังเหลืออยู่คือ ฐานปะรำ ๓ ฐาน หลัก ๒ หลักที่หลักมีสลัดรูปธรรมจักรด้านหนึ่งและรูปโคอีกด้านหนึ่ง
มีที่ขังน้ำใช้น้ำฉันของพระภิกษุยังเหลืออยู่ ในที่เก็บน้ำยังมีน้ำใสสะอาดเต็มเปี่ยม
มีไม่เป็นพุ่มเป็นกอ แต่ละพุ่มแต่ละกอมีดอกออกใบเขียวสดขึ้นอยู่โดยรอย
ที่ใกล้วิหารหลังนี้ มีซากวิหารอีกหลักหนึ่ง เรียกว่า
วิหารตถาคต"
"วิหารคถาคต มองจากซากก็รู้ว่า แต่เดิมมามี ๗ ชั้น
บรรดาราชาอนุราชา และประชาชน พากันมากกราบไหว้ ทำการสักการะตลอดกลางคืนกลางวัน"
"ทางทิศตะวันออกเฉียวเหนือขอวิหารคถาคต ไกลออกไป
๖-๗ สี่พบวิหารอีกหลังหนึ่ง (บุพพาราม) ซึ่งมหาอุบาสิกาวิสาขามิคารมารดาสร้างถวายพระพุทธเจ้า
เมืองสาวัตถีนี้มีประตูใหญ่เพียง ๒ ประตูคือประตูทางทิศตะวันออกและประตูทางเหนือ
มีอุทยานใหญ่แห่ง หนึ่งกว้างขวาง อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้สละทรัพย์สร้างถายพระพุทธเจ้ามีวิหารใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง
ณ สถานที่นี้เองเป็นที่ประทับถาวรของพระพุทธเจ้าเพื่อทรงแสดงธรรม
ยังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นภัย ณ สถานที่ใดอันเป็นที่เคยประทับของพระพุทธเจ้าก็ดี
เคยเป็นทีแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าก็ดี สถานที่นั้นมีเครื่องหมายไว้ให้เห็นหมด
แม้สถานที่ของนางจิญจมาณวิกา (รับใช้พระเทวทัตมากล่าวตู่พระพุทธเจ้า)
ก็มีเครื่องหมายแสดงไว้เหมือนกัน"
ท่านเทวปริยวาลิสิงหะ เลขาธิการสมาคมมหาโพธิอ้างหนังสือชื่อ
ปูชาสัลลิยะ อันเป็นวรรณคดีของลังกา เขียนเล่าว่า
"แม้พระมหาวิหารเชตวันจะเป็นที่ยังความสะดวกและความสงบให้เกิดได้
ยิ่งกว่าสถานที่ใดในชมพูทวีปก็ตาม แต่พระพุทธเจ้าหาได้ประทับจำพรรษาตลอดปีไม่
แต่ละปีพระพุทธเจ้าประทับเพียงปีละ 3 เดือนในฤดูพรรษา
ส่วนอีก ๙ เดือนนอกพรรษา พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกออกไปแสดงธรรมในคามนิคมอื่น"
พระมหาวิหารเชตวันมีชื่อมากในตำนานพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษาอยู่
ณ มหาวิหารแห่งนี้ ถึง ๒๔ ฤดูฝน พระธรรมส่วนใหญ่ทรงแสดงที่มหาวิหารแห่งนี้
คัมภีร์พุทธวงศ์ และเอกนิบาต อังคุตรนิกาย บรรยายว่า พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษา
ที่มหาวิหารแห่งนี้ เพียง ๑๙ ฤดูฝน เวลาที่เหลือจากนั้น
เปลี่ยนไปประทับ ณ วิหารบุพพามหาวิหารเชตวัน มีอธิบายอีกในหนึ่งว่า
เวลากลางวันประทับ ณ วิหารแห่งหนึ่ง และกลางคืนเสด็จไปแสดงธรรม
ณ วิหารอีกแห่งหนึ่ง นับเป็นสถานที่ประทับอันนับเนื่องด้วยชีวิตการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า
ตลอด ๒๔ ฤดูฝน
๖.นิโครธาราม เป็นพระอารามที่พระญาติสร้างถวายพระพุทธเจ้าอยู่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์
นครหลวงของแคว้นสักกะ ในพรรษาที่ ๑๕ หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาที่นิโครธาราม
๗.บุพพาราม เป็นพระวิหารที่อยู่ใกล้เคียงกับมหาวิหารเชตวันทางใต้ของนครสาวัตถี
เมืองหลวงของแคว้นโกศล นางวิสาขามิคารมารดา มหาอุบาสิกาผู้เป็นเอตทัคคะในบรรดาทายิกาทั้งปวงเป็นผู้สร้างถวาย
โดยขายเครื่องประดับประจำตัวตั้งแต่แต่งงาน เรียกชื่อว่ามหาลดาปสาธน์
เป็นเครื่องอาภรณ์งามวิจิตประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการมีค่ามากถึง
๙๐ ล้านกหาปนะ และได้รับยกย่องว่าเป็นของสำหรับผู้มีบุญในสมัยพุทธกาลมีเพียง
๓ คือ ของนางวิสาขา ๑ ของเศรษฐีธิดา ภรรยาท่านเทวทานิยสาระ
๑ และของนางวิสาขานำมาสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์
คือ มิคารมาตุปราสาท วัดบุพพาราม ณ พระนครสาวัตถี โดยพระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้พระมหาโมคคัลลานะ
อัครสาวก เบื้องซ้ายเป็นนวกัมมาธฏฐายี คือเป็นผู้อำนวนการก่อสร้างวิหารบุพพาราม
๘. พระเวฬุวัน เป็นป่าไผ่ สวนที่ประพาสพักผ่อนของพระเจ้าพิมพิสารอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพระนครราชคฤห์นครหลวงของแคว้นมคธเป็นสถานที่ร่มรื่นสงบเงียบ
มีทางไปมาสะดวก พระเจ้าพิมพิสารถวายเป็นสังฆาราม นับเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าทรงประจำพรรษาที่ ๒-๓-๔ และพรรษที่ ๑๗ กับ
๒๐ ภายหลังจากตรัสรู้พระเวฬุวันวิหารนับเป็นอารามในระยะกาลประดิษฐานพระศาสนาระยะแรกเริ่ม
๙.อัคคาฬวเจดีย์วิหาร อยู่ในเมืองอาฬวี ในพรรษาที่
๑๖ ภายหลังตรัสรู้ระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการบำเพ็ญพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับจำพรรษา
ณ วิหารแห่งนี้
|