ในอดีตกาลล่วงแล้วนาน
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพราหมณ์ชาวนา
ตั้งบ้านอยู่แถบประตูเมืองพาราณสี มีบุตรชาย ๑ บุตรหญิง ๑ บุตรสะใภ้
๑ ทาสี ๑ ภรรยา ๑ พระโพธิสัตว์สั่งสอนชนทั้ง ๕ ให้ข้อคิดมรณสติอยู่เป็นนิตย์
ชนทั้งห้าก็หมั่นพิจารณา มรณสติเป็นอารมณ์อยู่เสมอ
วันหนึ่ง
พระโพธิสัตว์ออกไปไถนากับบุตร ส่วนบุตรขนหญ้าและมูลฝอยไปเผาไฟใกล้ที่อยู่อสรพิษ
ควันไฟไปรมอสรพิษ ๆ โกรธออกมากัดล้มลงตายอยู่กับที่ พระโพธิสัตว์เห็นบุตรล้มก็วางไถวิ่งไปเห็นบุตรตายพิจารณาดูก็รู้ว่าอสรพิษกัดก็มิได้มีความเศร้าโศก
เอาผ้าคลุมศพไว้แล้วก็กลับไปไถนา
เวลานั้นชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้เคียงเดินมาจะกลับบ้านพระโพธิสัตว์ก็สั่งให้ช่วยบอกกับภรรยา
ว่าวันนี้ในนางทาสีนำอาหารมาส่งแต่ส่วนเดียว และให้นุ่งผ้าขาวถือเครื่องสักการะมาให้พร้อมกันทุกคนชายนั้นก็ไปบอกกับพราหมณีตามถ้อยคำพระโพธิสัตว์
นางพราหมณีได้ฟังก็ทราบทางนัยแห่งคำสั่ง
รู้แน่ว่าบุตรนั้นตายก็มิได้มีความโศกอาลัย บอกหญิงสะใภ้กับธิดาและทาสีตามคำสั่งพระโพธิสัตว์แล้วก็พากันไปสู่สถานที่นา
จะได้มีผู้ใดผู้หนึ่งร้องไห้ก็หาไม่
พระโพธิสัตว์ก็บริโภคอาหาร
ครั้นอิ่มแล้วก็ช่วยกันหาฟืนมาลำดับเป็นเชิงตะกอน ยกศพ ขึ้นตั้งบูชาด้วยดอกไม้และของหอมแล้วก็ช่วยกันเผา
ขณะนั้น
อาสน์ของพระอินทร์ก็บันดาลให้ร้อนด้วยอำนาจ สีลาทิคุณของชนทั้งปวงนั้น
พระอินทร์จึงเล็งดูด้วยทิพยจักษุ ก็ทราบว่าชนทั้ง ๕ มีพระโพธิสัตว์เป็นต้น
มิได้มีความเศร้าโศกต่างพากันกระทำฌาปนกิจ พระอินทร์คิดจะบูชาด้วยสมบัติทิพย์
จึงแปลงกายเป็นมนุษย์มายืน ณ ที่นั้นแล้วถามว่า ท่านทั้งปวงชวนกันทำอะไร
?
พระโพธิสัตว์บอกว่าเผาศพ
พระอินทร์จึงแกล้งว่า เราสำคัญว่าท่านชวนกันย่างเนื้อ ธรรมดาคนทั้งหลายที่เผาศพย่อมมีความเศร้าโศกอาลัยถึงผู้ตาย
นี่ทำอาการเหมือนนายพรานที่ยิงเนื้อ ได้และมีความยินดีช่วยกันอย่างเนื้อฉะนั้นแล้วจึงถามว่า
ศพที่เผานั้นเป็นอะไรกับท่าน
พระโพธิสัตว์บอกว่าเป็นบุตร
พระอินทร์จึงแกล้งถามว่า
บุตรที่ตายเห็นจะไม่เป็นที่รักของท่านหรืออย่างไร?
พระโพธิสัตว์บอกว่า
เป็นบุตรที่รักใคร่ของข้าพเจ้าทีเดียว
พระอินทร์จึงถามว่า
บุตรเป็นที่รัก เหตุใดท่านจึงไม่ร้องไห้เศร้าโศกเล่า ?
พระโพธิสัตว์ตอบว่า
คนตายเหมือนงูลอกคราบได้ชาติใหม่ภพใหม่ก็ไม่อาลัยของเก่า เช่นงูไม่มีอาลัยต่อคราบฉะนั้น
ถึงเราจะร้องไห้สักเท่าไร ๆ ก็ไม่มีประโยชน์แก่ผู้ที่ตายแล้ว ผู้ตายก็ไปตามยถากรรมของเขา
พระอินทร์จึงถามนางพราหมณีผู้เป็นมารดาว่า
คนที่ตายเป็นอะไรกับท่าน
นางพราหมณีบอกว่า
เป็นบุตรเกิดแต่อุทร
พระอินทร์จึงถามว่า
ส่วนบิดาเป็นชายมีจิตใจเข้มแข็งไม่ร้องไห้ก็ตามที แต่ท่านเป็นสตรีใจอ่อน
เหตุใดจึงไม่ร้องไห้
นางพราหมณีก็ตอบว่า
ผู้ที่ตายแล้ว เวลาเมื่อจะมาเกิด ข้าพเจ้าก็ไม่ได้อ้อนวอนและเชื้อเชิญให้มาเกิด
เมื่อเวลาจะตาย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้อนุญาตและขับไล่ให้ตาย มาเกิดเองก็ตายไปเอง
ข้าพเจ้าจะร้องไห้ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว
พระอินทร์จึงถามน้องหญิงว่า
ท่านเป็นอะไรกับผู้ตาย
น้องสาวบอกว่า เป็นพี่ชาย
พระอินทร์ถามว่า
ท่านไม่รักพี่หรือจึงไม่ร้องไห้
น้องสาวตอบว่า ถ้าข้าพเจ้าร้องไห้ก็จะซูบผอมเกิดโรคไม่มีความสบาย
การร้องไห้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ตายก็หามิได้
พระอินทร์จึงถามภรรยาว่า
ท่านเป็นอะไรกับผู้ตาย
ภรรยาบอกว่าเป็นสามี
พระอินทร์จึงถามว่า
ธรรมเนียมสามีกับภรรยาย่อมเป็นที่เสน่หายิ่งนัก สามีตายเหตุไฉนท่านจึงไม่ร้องไห้
ภรรยาตอบว่า การร้องไห้ถึงคนตาย
ก็เหมือนกับทารกร้องไห้ อยากได้พระอาทิตย์พระจันทร์ การร้องไห้ไม่มีประโยชน์ทั้งคนเป็นทั้งคนตาย
พระอินทร์จึงถามว่า
ผู้ตายเห็นจะเคี่ยวเข็ญท่านนักหรือ ? ท่านจึงไม่มีความเสียดายอาลัยรัก
หญิงทาสีจึงตอบว่า
คนตายก็เหมือนหม้อน้ำที่แตกจะกระทำให้คืนดีเป็นปรกติอย่างเดิมไม่ได้
การร้องไห้ถึงคนตายก็เหมือนร้องไห้อาลัยหม้อแตก การร้องไห้ไม่มีประโยชน์อันใด
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิได้ร้องไห้
เมื่อพระอินทร์ได้สดับถ้อยคำของชนทั้งห้าแล้ว
ก็มีความเลื่อมใสปรารถนาจะบูชา จึงมีสุนทรวาจาอันเป็นที่ยินดีว่าตั้งแต่นี้ต่อไปท่านทั้งหลายอย่าพึงกระทำการหว่านไถให้ลำบากเลย
จงตั้งใจกระทำแต่กองการกุศลเถิด เราคือองค์อัมรินทราธิราช เราจะให้ทิพยสมบัติแก่ท่านทั้งปวง
ครั้นพระอินทร์มีวาจาดังนี้แล้วก็บันดาลให้ทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ในเคหสถานของพราหมณ์มีแก้วเจ็ดประการเป็นต้น
แล้วก็กลับไปสู่ทิพยพิมานแห่งตน
|