บริเวณป่าใหญ่แห่งหนึ่งในเขตเทือกเขาหิมพานต์
มีฝูงลิงอยู่ฝูงหนึ่งซึ่งมีลิง ๒ พี่น้อยเป็นผู้ควบคุมดูแล
ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นลิงตัวพี่ชื่อ
"มหานันทิยะ" ส่วนพระสารีบุตรเกิดเป็นลิงตัวน้องชื่อ "จูฬนันทิยะ"
ลิง ๒ พี่น้องมีลิงบริวารอยู่ ๘๐,๐๐๐
ตัว แม่ลิงของลิงทั้งสองนั้นตาบอด จึงเป็นหน้าที่ของลิง ๒ พี่น้องต้องช่วยกันดูแลเลี้ยงดู
คราวหนึ่ง ลิง ๒ พี่น้องต้องพาบริวารไปหากินไกลจากที่อยู่
แต่ได้มอบหมายให้ลิงตัวหนึ่งนำผลไม้มาให้แม่ลิงกิน ผลปรากฏว่าลิงที่ได้รับมอบหมายให้นำผลไม้มานั้นกลับคิดไม่ซื่อเก็บไว้กินเสียเอง
ลิง ๒ พี่น้องกลับมาเห็นแม่ลิงซูบผอมจึงถามความจริง
"แม่
ทำไมผอมลงเล่า แม่ไม่ได้กินผลไม้ที่ลูกส่งมาให้หรือว่าแม่ไม่ชอบ ผลไม้เหล่านั้นเหล่านั้นล้วนมีรสชาติอร่อยทั้งสิ้น"
"ผลไม้ที่ไหนลูก
แม่ไม่เคยได้เลย" แม่ลิงตอบ
ลิงมหานันทิยะได้ฟังแม่พูดเช่นนั้น
ก็เข้าใจทันทีว่าลิงที่มอบหมายให้นำผลไม้มาให้คิดไม่ซื่อ จึงเกิดสะเทือนใจแล้วคิดว่า
"เรามัวแต่ดูแลบริวารให้ได้รับความสุข
ต่อนี้ไปเราจักออกจากการเป็นหัวหน้าฝูงลิงมาเลี้ยงดูแม่ดีกว่า"
ครั้งคิดได้ดังนี้ ลิงมหานันทิยะก็เรียกน้องชายคือลิงจูฬนันทิยะ
มาปรึกษาแล้วมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลบริวารแทน
"น้องรัก
น้องช่วยดูแลบริวารแทนที่ด้วย พี่จักลาออกเพื่อมาทำหน้าที่เลี้ยงดูแม่
เพราะไม่อย่างนั้นแล้วไม่มีเวลาดูแลแม่แน่"
"ไม่ละพี่
ฉันไม่ต้องการดูแลบริวารหรอก ฉันก็อยากดูแลแม่เหมือนกัน" ลิงจูฬนันทิยะปฏิเสธพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผล
เป็นอันว่า ลิง ๒ พี่น้องยอมสละตำแหน่งหัวหน้าฝูงมาเลี้ยงดูแม่ลิงซึ่งบัดนี้แก่เฒ่าแล้ว
ทั้งสองพาแม่ลิงลงจากป่าหิมพานต์มาอยู่ที่ต้นไทรต้นหนึ่งใกล้ชายแดน
สามแม่ลูกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขโดยลิง ๒ พี่น้องต่างผัดเปลี่ยนกันออกไปหาผลไม้มาให้แม่ลิง
"เหนื่อยไหมลูก"
แม่ลิงมักถามลูก ๆ อย่างนี้เสมอ
"ไม่เหนื่อยหรอกจ้าแม่"
ลูกๆ จะพากันตอบแบบนี้ทุกครั้งซึ่งแม่ลิงได้ฟังแล้วก็รู้สึกสบายใจ
ส่วนลิง ๒ พี่น้องก็อบอุ่นใจ
ทางด้านเมืองพาราณสี มีพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งศึกษาศิลปวิทยาจบมาจากสำนักของพราหมณ์ทิศาปาโมกข์
แหละพราหมณ์หนุ่มคนนี้มีนิสัยหยาบคายร้ายกาจและใจร้อน อาจารย์ทิศาปาโมกข์มองดูศิษย์ซึ่งเข้ามาอำลากลับบ้านเกิดด้วยความเป็นห่วง
"ลูกรัก
ลูกเป็นคนใจร้อน จำคำพูดของพ่อไว้ให้ดีนะว่าความใจร้อน ความหยาบคายร้ายกาจจะทำให้ลูกเดือดร้อนจงพยายามปรับปรุงนิสัยใจคนให้เป็นคนสุภาพ
อะไรก็ตามที่ ทำไปแล้วจะทำให้เดือดร้อนก็อย่าไปทำ" อาจารย์ทิศาปาโมกข์เตือนศิษย์
"ผมจะพยายามทำอย่างที่อาจารย์แนะนำ"
ศิษย์รับคำแล้วกราบลาอาจารย์
ครั้นกลับมาเมืองพาราณสีแล้ว พราหมณ์หนุ่มนั้นก็ครุ่นคิดหาวิธีเลี้ยงชีวิตตอนเองและครอบครัว
เขามองไม่เห็นทางอื่นที่จะใช้ความรู้นอกจากการล่าสัตว์ เมื่อเห็นทางอย่างนี้เขาจึงตัดสินใจยึดอาชีพเป็นพรานเนื้อออกล่าสัตว์แล้วแล่เนื้อออกขาย
เขาภูมิใจและมีความสุขที่เห็นสัตว์ป่าถูกยิงตายต่อหน้า
"ฮ่า.....ฮ่า......จะหนีไปไหนพ้นวะเจ้าสัตว์น้อย"
เขาหัวเราะคำรามลั่นอย่างนี้ทุกครั้งที่ปล่อยลูกธนูออกไป
เขาเป็นคนทำบาปขึ้น ทุกวันที่ออกไปล่าสัตว์จะต้องได้สัตว์ติดมือกลับมาทุกครั้ง
ครั้นเมื่อได้มาแล้วก็มอบให้เมียแล่เนื้อออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเก็บไว้กิน
ขระที่อีกส่วนหนึ่งนำออกขาย แต่วันหนึ่งนับเป็นวันที่เขาโชกร้ายเพราะไม่สามารถยิงสัตว์ป่าได้เลย
เขารู้สึกหัวเสียและเดินง้างธนูออกล่าเหยื่อด้วยความเจ็บแค้น
"ให้เจอเถอะน่า
กูจะยิงไม่เลี้ยงเลย" เขาคำรามอยู่ในใจ
พราหมณ์หนุ่มผู้หยาบช้าเดินล่าเหยื่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงต้นไทรใหญ่ที่ลิง
๓ แม่ลูกอาศัยอยู่ เขาเดินตรงรี่ไปที่ต้นไทรนั่นพร้อมทั่งมีความหวัง
"คงมีอะไรให้กูได้ยิงมั่งละวะ"
ขณะนั้นเอง ที่ต้นไทรนั้น ลิง ๒ ตัว
พี่น้องกำลังปรนนิบัติแม่ลิงให้ลิงกินผลไม้อยู่ ลิงมหานันทิยะเห็น
พรามหณ์หนุ่มถือธนูเดินเข้ามาก็คิดว่า
"พราหมณ์คนนี้เห็นแม่ลิงแก่
ๆ คงไม่ทำอะไร"
จากนั้นตัวเองกับน้องจึงหลบอยู่ที่คาคบ
ฝ่ายพราหมณ์หนุ่มหยาบช้ามาถึงต้นไทรสอดสายตามองไปจนทั่วก็เห็นแม่ลิงกำลังนั่งกินผลไม้อยู่บนกิ่งต้นไทร
"พอดีเลย...."
เขาคิด "วันนี้เกือบทั้งวัน ยังไม่ได้เนื้อสักตัวเอาวะลิงแก่ก็ลิงแก่เถอะ
เนื้อมันก็กินได้เหมือนกัน"
คิดแล้ว
เขาก็ง้างธนูเต็มที่หมายจะยิง ลิงมหานันทิยะคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
เห็นพราหมณ์หนุ่มแสดงท่าท่างเช่นนั้นแน่ใจว่าเหตุร้ายต้องเกิดขึ้นกับแม่ของตนแน่
จึงรับบอกลิงจูฬนันทิยะให้รู้ตัวและตนเองก็กระโดดออกมาขวางหน้าแม่ลิงไว้
พลางร้องบอกพราหมณ์หนุ่มว่า
"ท่านนายพราน
อย่ายิงแม่ของข้าพเจ้าเลย ท่านแก่มากแล้ว มิหนำซ้ำยังพิการอีกด้วย
มายิงข้าพเจ้าดีกว่า ข้าพเจ้ายินดีสละชีวิตให้แม่"
จากนั้นก็หันไปบอกลิงจูฬนันทิยะว่า
"น้องรัก พี่ฝากแม่ด้วย"
พราหมณ์หนุ่มหยาบช้าไม่ได้เกิดความสงสารแม้แต่นิดเดียว
เขาปล่อยลูกธนูใส่ลิงมหานันทิยะเต็มแรง ลิงมหานันทิยะถูกยิงกระเด็นตกจากต้นไทรและสิ้นใจตายทันที
จากนั้นพราหมณ์หนุ่มก็สอดลูกธนูเตรียมจะยิงแม่อีก
"อย่า..อย่า...ท่านนายพราน"
ลิงจูฬนันทิยะขอร้องพลางกระโดดขวางหน้าแม่ลิง "อย่ายิงแม่ของข้าพเจ้าโปรดไว้ชีวิตท่านเถิด
ข้าพเจ้ายินดีตายแทนแม่"
พอขาดคำของลิงจูฬนันทิยะ
พราหมณ์หนุ่มก็ยิงลูกธนูใส่เต็มแรงอีกเช่นกัน ผลก็คือ ลิงจูฬนันทิยะกระเด็นตกจากต้นไม้สิ้นใจตายคาที่ทันที
จากนั้นเขาก็ยิงแม่ลิงอีกด้วย ผลปรากฎว่า วันนั้นเขาได้ยิงลิง ๓ ตัวแม่ลูกกลับบ้านด้วยความดีใจ
ขณะที่เขาหาบลิง ๓ แม่ลูกมุ่งหน้ากลับบ้านนั้น
ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นที่บ้านของเขา กล่าวคือ เกิดฟ้าผ่าบ้านแล้วมีไฟลุกไหม้ครอกเมียและลูก
๒ คนตายหมดเหลือแต่ซากบ้านกับกองกระดูกของลูกเมีย ขณะนั้นเขาหาบลิงมาถึงทางเข้าหมู่บ้านพอดี
ชาวบ้านเห็นเขาต่างรีบเข้ามาแจ้งข่าวร้ายทันที
ทันทีที่ได้ฟังข่าวร้ายนั้น เขาถึงกับร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ
ไม่สามารถจะคุ้มสติไว้ได้ ทิ้งหาบวิ่งโร่ไปบ้านถึงขนาดผ้าผ่อนหลุดลุ่ยก็ไม่รู้ตัว
เขาเข้าไปในซากบ้านของตัวเองแล้วทันใดนั้นเอง โครงบ้านที่เหลืออยู่ก็หล่นตีศรีษะเขาแตกเลือดอาบ
เขาวิ่งออกจากบ้าน ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น แผ่นดินตรงที่เขายืนได้แยกออกแล้วดูดร่างเขาลับหาย
ไปในพริบตา
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การทำร้ายผู้ที่ไม่ได้คิดร้ายกับตนเองด้วยจิตใจที่โหดเหี้ยม
ย่อมได้รับผลทันตาเห็น เหมือนพราหมณ์หนุ่มฆ่าลิง ๓ แม่ลูกผู้มีจิตใจสะอาดแล้วได้รับผลกรรมทันตาเห็นฉะนั้น
คนเราทำกรรมเหล่าใดไว้
เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน
ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี
ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
คนเราหว่านพืชเช่นใด
ย่อมได้รับผลเช่นนั้น...
|