กรรมของเศรษฐีตระหนี่ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

 pt  4,853 

สมัยหนึ่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ ครานั้นยังมีเศรษฐีชราผู้หนึ่งนามว่า อานันทเศรษฐี เขามีทรัพย์อยู่ถึง ๔๐ โกฏิ เศรษฐีผู้นี้แม้จักร่ำรวยเงินทองถึงปานฉะนี้แต่แทนที่จะใช้ทรัพย์ของตนไปในทาง ที่ฉลาดอย่างผู้มีปัญญา เช่น บริจาคให้คนยากไร้ หรือไม่ก็นำไปสร้างถาวรวัตถุอันจักเป็นประโยชน์ต่อผู้คน แลสังคม ที่ไหนได้เขากลับมิได้คำนึงถึง ยิ่งมีทรัพย์มากเท่าไหร่จิตใจของเขาก็ยิ่งพอกพูนไปด้วยความโลภมากเท่านั้น ทุกๆกึ่งเดือนเขาจักเรียกบุตรหลานเข้ามาอบรมเพื่อย้ำเตือนมิให้บรรดาลูกหลานนำทรัพย์ไปใช้ในทางไม่ถูกไม่ควรอยู่เสมอ

“ นี่แน่ะเจ้าพวกผู้เยาว์! ทรัพย์ที่มีอยู่ ๔๐ โกฏิพวกเจ้าอย่านึกว่ามันมากมายน่ะ ทรัพย์เหล่านี้ไม่ควรจักนำไปใช้ไม่ว่าจักเป็นกรณีใดๆ ถ้าการนั้นไม่ก่อให้เกิดกำไรขึ้นมา! โดยเฉพาะการบริจาคให้คนยากไร้หรือนักบวชที่เกียจคร้านไม่ยอมทำมาหากินขอพวกเจ้าอย่าได้กระทำเป็นอันขาด เพราะการให้ทานกับคนเหล่านั้นมันไม่ได้ทำให้ทรัพย์ของเราเพิ่มขึ้น มีแต่จักยิ่งทำให้ทรัพย์ที่มีอยู่ ต้องลดน้อยถอยลง

ขอพวกเจ้าจงสังวรไว้ ทุกครั้งที่ใช้ทรัพยออกไปแม้จักเป็นปริมาณเล็กน้อยก็ตาม นั่นก็คือภาวะที่จักนำพวกเจ้าไปสู่การสิ้นทรัพย์ในที่สุด! เพราะทรัพย์จักต้องหมดลงไม่วันใดก็วันหนึ่ง ดั่งภาษิตที่ว่าน้ำมันหยอดตาแม้จักใช้ทีละหยดสองหยด แต่เนิ่นวันไปมันย่อมหมดลงได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ทรัพย์ที่เจ้าใช้ไปทีละนิดทีละหน่อยฤามันจักอยู่คู่กับเจ้าอย่างไม่มีวันหมดสิ้นไปได้

ขอพวกเจ้าจงดูจอมปลวกไว้เป็นตัวอย่างเถิด จอมปลวกที่เห็นใหญ่โตกว่าที่มันจักใหญ่เท่ากับภูเขาเลากาได้ ฤาเพราะมิใช่ต้องอาศัยความมานะบากบั่นของปลวกตัวเล็กตัวน้อย ค่อยๆก่อค่อยๆสร้างกันมาดอกหรือ อีกทั้งมธุรสหวานล้ำที่อยู่ในรวงรังผึ้ง กว่าจักถึงซึ่งความมากมายได้ ฤาเพราะมิใช่ต้องอาศัยความขยันขันแข็งของเหล่าผึ้งงาน ทำการเก็บเล็กผสมน้อย ทีละนิดทีละหน่อย จึงได้มีน้ำหวานมากมายเป็นโอ่งเป็นไหได้ถึงปานฉะนี้ ฉะนั้นขอพวกเจ้าจงถือเอาสัตว์ทั้งสองนี้เป็นครู จงพยายามหาทรัพย์มาให้มากที่สุดเท่าที่จักหาได้ แลจงอย่าได้ใช้ทรัพย์ออกไปแม้แต่เพียงเล็กน้อยเป็นอันขาด! ”

เศรษฐีชราพยายามพล่ามเตือนบุตรหลานอยู่อย่างนี้เรื่อยมา ต่อมาไม่นานเขาก็ละสังขารไปตามอายุขัยที่มีบนโลก แต่เนื่องจากตัวเขาเป็นผู้ที่มากไปด้วยความโลภเป็นสันดาน ก่อนตายจึงมิอาจปล่อยวางในทรัพย์สมบัติได้ พอตายลงจึงไปปฏิสนธิในครรภ์ของหญิงจัณฑาลนางหนึ่ง อาศัยอยู่ในชุมชนคนจัณฑาล ห่างจากกรุงสาวัตถีออกไปไม่ไกลนัก

ปกติความเป็นอยู่ของจัณฑาลนางนี้ก็ถือว่าค่อนข้างอัตคัดขัดสนอยู่แล้ว เพราะต้องขอทานผู้คนเลี้ยงชีพ แต่พอตั้งครรภ์ลูกในท้องเท่านั้น สภาพขัดสนที่ว่ากลับต้องลำบากลำบนเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีกเป็นหลายเท่าตัว และไม่เพียงแต่ครอบครัวนาง ความลำบากยังแผ่คลุมไปทั่วทุกครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในชุมชนคนจัณฑาลแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ลาภผลจากเคยได้อยู่ได้กิน แม้บางมื้อจักไม่อิ่มท้องก็ตาม จู่ๆก็พลันฝืดเคืองขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้คนจากเคยยิ้มแย้มหยอกหัว แม้เหน็ดเหนื่อยจากการขอทานกันจนสายตัวแทบขาด อยู่ๆก็กลับบึ้งตึงเข้าหากันโดยไม่ทราบสาเหตุ ความผิดปกตินี้ได้ขยายออกไปเป็นวงกว้างจนผู้คนในชุมชนเริ่มรู้สึกถึง ดังนั้นจึงเกิดมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น ท่านผู้นำชุมชนเมื่อเห็นว่าเรื่องชักจักบานปลาย เกรงว่าจะเกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่พวกพ้อง จึงเรียกคนในชุมชนให้มาประชุมกันเพื่อหาทางแก้ไข

หลังจากปรึกษาหารือกันก็ได้ข้อสรุป คือในชุมชนพวกเขาจักต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นคนกาลกิณีปะปนอยู่แน่นอน เหตุอาเพสนี้ถึงได้เกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งคนผู้นี้ท่านผู้นำจึงสั่งให้แบ่งคนออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน พวกแรกเช้าพรุ่งนี้ให้ไปขอทานยังด้านทิศเหนือ ส่วนพวกที่สองซึ่งมีหญิงจัณฑาลแลสามีร่วมอยู่ด้วย ให้ไปขอทานยังด้านทิศใต้ แหละเย็นพรุ่งนี้หลังจากที่เลิกขอทาน ให้ผู้นำทั้งสองกลุ่มมารายงานผลให้เขาทราบ

เช้ารุ่งขึ้นจัณฑาลสองพวกที่ถูกแบ่งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่างก็แยกกันไปขอทานตามที่ได้ตกลงกันไว้ เย็นวันนั้นหลังจากที่เลิกขอทาน ปรากฏพวกที่ไปขอทานยังด้านทิศเหนือต่างก็ยิ้มแย้มหยอกหัวกันมาตลอดทาง เนื่องจากวันนี้ไม่รู้เป็นไร อยู่ๆบรรดาคนใจบุญทั้งหลายต่างก็ออกมาบริจาคทานกันอย่างมากมายผิดหูผิดตา ทำให้พวกเขาต่างได้ลาภเป็นของกินของใช้ติดไม้ติดมือกันคนละเป็นจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ

แต่ทว่าพวกที่ไปขอทานยังด้านทิศใต้กลับหาได้เป็นเช่นนั้น วันนี้ไม่รู้เป็นวันมหาอุบาทว์อันใด ไม่ว่าพวกเขาจะไปตรอกไหนซอยไหน ก็หาได้มีผู้ใดจักออกมาบริจาคทานแม้แต่เพียงคนเดียว บรรดาผู้ใจบุญซึ่งเคยมีบ้างจู่ๆก็กลับเงียบหายไปเสียยังงั้น ไม่มีเฉียดกรายเข้ามาให้เห็นแม้เงา ฉะนั้นพวกเขาจึงต้องกลับบ้านกันด้วยมือเปล่าทุกคน

และยิ่งมาถึงได้เห็นสีหน้าพวกแรกเริงรื่นแจ่มใส กินข้าวกินปลากันอย่างอิ่ม หมีพีมัน พวกเขาก็ยิ่งเกิดความหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ พากันด่าทอถึงความโชคร้ายของตนว่าจักต้องมีใครคนใดในกลุ่มของพวกตนเป็นแน่ ที่เป็นคนกาลกิณี ความอับโชคนี้ถึงได้เกิดขึ้นกับพวกเขา หลังจากสองกลุ่มกลับถึงชุมชนเป็นที่เรียบร้อย ผู้นำชุมชนก็ได้เรียกหัวหน้ากลุ่มเข้าไปสอบถาม จากนั้นก็ประกาศให้ทุกคนมารวมกันอีกครั้งเพื่อสรุปผลให้สมาชิกทราบ

“ พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ผล ได้ประจักษ์แล้วว่าในชุมชนของพวกเราจักต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่คนกาลกิณีปะปนอยู่แน่ แหละคนผู้นั้นก็ต้องอยู่ในกลุ่มที่ไปขอทานยังด้านทิศใต้ในวันนี้ ฉะนั้นขอพวกที่ไปขอทานยังด้านทิศใต้จงฟัง ขอพวกท่านจงแบ่งคนของตนออกเป็นสองกลุ่มเท่าๆกัน แล้วในวันพรุ่งนี้ให้พากันไปขอทานยังด้านทิศใต้เหมือนเดิม แต่ให้แยกกันไปคนละหมู่บ้าน อย่าซ้ำกัน! แหละเย็นพรุ่งนี้ได้ผลอย่างไรให้หัวหน้ากลุ่มมารายงานให้ข้าพเจ้าทราบ สำหรับวันนี้แยกกันไปพักผ่อนได้ ”

หลังจากผู้นำชุมชนได้ใช้วิธีแบ่งกลุ่มให้มีขนาดเล็กลง เล็กลง เรื่อยๆ ในที่สุดหญิงจัณฑาลแลสามีก็จำต้องแยกกันไปขอทานคนละหมู่บ้าน เย็นวันนั้นหลังจากที่เลิกขอทาน ปรากฏหน้าบ้านของสามีภรรยาคู่นี้ได้มีกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนเป็นเพื่อนบ้านของเขาทั้งสองนั่นเอง พากันมายืนออเพื่อรอดูว่าสามีภรรยาคู่นี้ ใครกันแน่ที่เป็นคนกาลกิณี! และแล้วสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็ปรากฏ

ซ้ายมือพวกเขามีชายผู้หนึ่งกำลังมุ่งมาทางบ้านหลังนี้ ในมือของเขาล้วนหอบหิ้วของกินของใช้ติดไม้ติดมือมาจนแทบจักล้นมือ ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ขณะเดียวกันขวามือก็มีหญิงมีครรภ์นางหนึ่ง กำลังโซซัดโซเซเดินมุ่งมายังบ้านหลังนี้เช่นกัน ในมือทั้งสองของนางว่างเปล่า มิได้มีสิ่งของใดๆติดไม้ติดมือให้เห็นแม้แต่เพียงชิ้นเดียว ใบหน้าขาวซีดแทบไม่เห็นสีเลือด ภาพทั้งสองแม้นไม่มีคำบรรยาย แต่ทุกคนก็รู้แล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนกาลกิณี

บัดนี้เมื่อเหตุแห่งปัญหาถูกเผยออกมา เพื่อให้ความสงบสุขกลับสู่ชุมชนโดยไว จัณฑาลทั้งหลายจึงลงความเห็นว่าหญิงมีครรภ์นางนี้ต้องออกไปจากชุมชนพวกเขาทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อเสียงส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้อง ชายผู้เป็นสามีก็มิอาจที่จักทัดทานได้ จำต้องปล่อยภรรยาให้เก็บข้าวของออกไปจากชุมชนโดยพลัน

ฝ่ายจัณฑาลิณีผู้มีกรรม หลังจากถูกขับออกจากหมู่ นางก็ต้องระหกระเหินไปตามที่ต่างๆ ค่ำไหนก็นอนนั่น ต้องทนอดมื้อกินมื้อ ลำบากลำบนเหลือที่จักกล่าว แต่ถึงจะทุกข์เพียงใดนางก็หาเอ่ยปากตัดพ้อต่อว่าบุตรในครรภ์แม้แต่เพียงเล็กน้อย จนกระทั่งได้เวลาทลิทโทฤกษ์ อันเป็นเวลาเกิดของพวกขอทานหรือคนเข็ญใจ จัณฑาลนางนี้ก็ได้คลอดลูกชายออกมาผู้หนึ่ง มีรูปกายที่แสนทุเรศอัปลักษณ์เกินกว่ามนุษย์มนาจักพึงมี ตลอดหัวหัวจรดเท้าไม่ว่าจักมองมุมไหนก็มิได้เหมือนผู้เหมือนคน แต่ดันพิกลไปเหมือนกับผีกับเปรตเสียยังงั้น! ทั้งนี้ก็เพราะกรรมบันดาลให้เป็นไปนั่นเอง

แต่ถึงบุตรจักหน้าตาน่าเกลียดเพียงใด ผู้เป็นแม่ก็หามีใจรังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่น้อย นางเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟัก ทะนุถนอมลูกรักอย่างเต็มกำลังความสามารถเสมอมา จนบุตรน้อยมีวัยพอจักรู้เดียงสา วันหนึ่งนางได้เรียกลูกเข้ามาพร้อมกับยื่นสมบัติล้ำค่าคือกะลาขอทานไปให้ จากนั้นก็ข่มกลั้นความอาลัย ฝืนตัดใจสั่งสอนลูกเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“ ลูกเอ๋ย! บัดนี้เจ้าก็เจริญมาด้วยวัยอันสมควรแล้ว แม่นี้ไม่มีสมบัติใดจักให้เจ้า เห็นอยู่ก็แต่กะลามะพร้าวใบนี้เท่านั้น ขอเจ้าจงใช้มันเป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตนเถิด แลขอเจ้าจงจำไว้ว่า แม้เราจักมีชะตาอาภัพเพียงใด แต่ก็ยังภูมิใจที่ไม่เคยประพฤติตนเป็นโจรฤาคนพาล ฉะนั้นเจ้าจงใช้กะลามะพร้าวที่แม่ให้นี้ เที่ยวขอทานผู้คนเลี้ยงชีวีเถิดลูกรัก! ” ฝ่ายบุตรน้อยพอรับกะลามาก็ให้แสนดีใจ รีบอำลาผู้เป็นมารดาทันใด จากนั้นก็วิ่งหายลับ ปะปนไปกับผู้คนตามท้องถนนทันที

หลังจากแยกกับมารดาแล้ว ขอทานน้อยก็ใช้วิชาที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เที่ยวขอทานผู้คนอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนวันหนึ่งเขาสะเปะสะปะมาเจอปราสาทหลังหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ มีความใหญ่โตอลังการเป็นอย่างยิ่ง ในความรู้สึกเขาปราสาทหลังนี้มันช่างคุ้นตาเขาเสียนี่กระไร ไม่ว่าจักเป็นรูปทรงสีสัน ตลอดจนถึงหน้าต่างประตู เหมือนว่าจักเคยเห็นมาก่อนยังไงยังงั้น!

ก็จักไม่คุ้นได้อย่างไร ในเมื่อปราสาทหลังนี้มันก็คือปราสาทของเขาในชาติที่ยังเป็นเศรษฐีจอมงกอยู่นั่นเอง พอมาเจอชาตินี้เขาจึงรู้สึกคุ้นเคยผูกพัน มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา

หลังจากที่ยืนพิจารณาอยู่พักใหญ่ว่าเคยเห็นปราสาทหลังนี้มาจากที่ไหนหนอ ในที่สุดเขาก็จำได้ แท้จริงมันก็คือปราสาทของเขาเมื่อชาติที่แล้วนั่นเอง พอทราบดังนั้นจึงไม่รอช้า รีบสาวเท้าเข้าไปทันใด

ขณะนั้นนอกตัวปราสาทมีข้าทาสกลุ่มหนึ่งกำลังทำงานอยู่ บรรดาคนงานพอเห็นขอทานสกปรกมอมแมม หน้าตาน่าเกลียดราวกับผีกับเปรตก็มิปาน เดินมุ่งมายังปราสาทตน ต่างก็พากันร้องตะโกนขับไล่ ด้วยเกรงว่าขอทานผู้นี้จะเข้ามาทำให้ปราสาทพวกตนต้องมัวหมอง แต่ถึงพวกเขาจักขู่ตะคอกเพียงใดก็หาได้ทำให้เด็กหน้าผีมีใจสะทกสะท้านไม่ มิหนำซ้ำกลับเดินลิ่วเข้ามาอีก พอเห็นดังนั้นแต่ละคนจึงก้มลงหยิบเอาท่อนไม้ท่อนฟืนที่พอจักหาได้แถวนั้นขึ้นมากันคนละดุ้นสองดุ้น จากนั้นก็ไม่รอช้า กรูกันเข้าไปทุบตีเด็กประหลาดหน้าผีผู้นี้จนถึงแก่วิสัญญีภาพ นอนหมดสติอยู่ที่ปากทาง ก่อนจักเข้าตัวปราสาทนั่นเอง!

เพลานั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้เสด็จผ่านมาพอดี จึงทันทรงเห็นเหตุการณ์ ด้วยพระเมตตาพระองค์จึงตรัสกับเหล่าข้าทาสว่า “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงงดโทษให้ กับขอทานน้อยผู้นี้ด้วยเถิด เพื่อบาปจักได้ไม่เกิดกับพวกท่านมากไปกว่านี้อีก ” บรรดาคนงานพอฟังพระดำรัสแห่งองค์พระศาสดาจึงหยุดมือลง พร้อมกันนั้นต่างก็พากันก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทโดยพร้อมเพรียงกัน

สมเด็จพระผู้มีพระภาคครั้นทรงเห็นพวกเขาคลายจากโทสะแล้วจึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสถึงอดีตชาติของขอทานน้อยให้พวกเขาทราบ ว่าแท้จริงแล้วขอทานผู้นี้เมื่อชาติที่แล้วก็คือท่านอานันทเศรษฐีเจ้าของปราสาทหลังนี้นั่นเอง แต่เพราะกรรมที่เขาเป็นคนตระหนี่ไม่ยินดีในการให้ ฉะนั้นพอตายไปบาปอกุศลที่ทำไว้จึงนำเขาให้ไปเกิดในสกุลของคนจัณฑาล มีฐานะยากจน ต้องกระเสือกกระสนขอทานผู้คนเลี้ยงชีพ ไม่เพียงเท่านั้น กรรมยังส่งผลให้เขาเกิดมามีหน้าตาที่อัปลักษณ์เกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจักพึงมีด้วยต่างหาก

ทีแรกท่านมูลสิริเศรษฐีผู้เป็นบุตรก็ยังไม่เชื่อ แต่ขณะนั้นขอทานน้อยได้รู้สึกตัวขึ้นมา ดังนั้นพระองค์จึงทรงให้เขาเป็นผู้เล่าเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง พร้อมกันนั้นก็ตรัสให้เขาพาคนที่อยู่ ณ ที่นั้นไปขุดเอาสมบัติที่เขาแอบไปฝังไว้โดยที่มิได้บอกให้ลูกหลานรู้ขึ้นมา ซึ่งมีอยู่ถึง ๕ แห่ง

พอสมบัติถูกขุดขึ้นมาท่านมูลสิริเศรษฐีจึงยอมเชื่อในพระพุทธฎีกา จากนั้นตัวเขาก็หันมาเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังมากขึ้น และไม่เพียงแค่ตัวเขา ต่อมาเขายังชักจูงบุตรหลานให้หันมาบริจาคทานรักษาศีลตามเขาด้วยต่างหาก เพื่อที่ว่าชาติหน้าฉันใดหากคนเหล่านี้ตายไป จักได้ไม่ต้องเกิดมามีสภาพที่น่าอเนจอนาถเหมือนดังปู่ทวดของพวกตน

ส่วนขอทานน้อยหลังจากที่ความจริงปรากฏ สุดท้ายลงเอยอย่างไรในตำรามิได้กล่าวไว้ ฉะนั้นจึงขอจบเรื่องของเศรษฐีผู้มีกรรม เอาไว้แต่เพียงเท่านี้ .

จากเรื่องที่นำมาเล่าคงเห็นถึงอานิสงส์ของการบริจาคทานกันแล้วกระมัง? ใครที่ยังตระหนี่จนเพื่อนออกปากแม้แต่อุจจาระก็ยังไม่ยอมให้สุนัขรับประทานล่ะก็ ขอจงดูขอทานน้อยไว้เป็นตัวอย่างเถิด เผื่อจักมีใจเปิดพกเปิดห่อออกไปทำบุญทำทานกับเขาบ้าง ไม่ใช่มัวแต่เก็บตะพึดตะพืออย่างเดียว ประเดี๋ยวเกิดมาหน้าเหี่ยวเหมือนเด็กหน้าผีผู้นี้ไม่รู้นะ!

ด้วยความปรารถนาดี

สืบ ธรรมไทย
   

ที่มา : อ้างอิงจากพุทธชาดก และ โลกทีปนี เรียบเรียงโดย พระพรหมโมลี(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย