กุสราชมหาสัตว์( ภาค ๓ ) เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

๏ กุสราชมหาสัตว์ ๓

หลังจากพระเจ้ากุสราชได้ทรงตอบโต้ถ้อยคำกับพระนางประภาวดีในวันนั้นแล้ว ผ่านมาหลายวันพระองค์ก็มิได้ทรงเห็นพระพักตร์ของพระนางอีกเลย ทำให้ทรงเกิดความกังขาว่านางมีความรู้สึกเช่นไรต่อพระองค์ ดังนั้นจึงทรงคิดจักทดสอบดู

เช้าวันหนึ่งหลังจากทรงถวายพระกายาหารให้กับพระธิดาทุกพระองค์แล้ว พระมหาสัตว์ก็ทรงหาบกระเช้าย้อนกลับมาทางห้องของพระนางประภาวดีอีกครั้ง พอถึงหน้าห้องก็ทรงกระทืบพระบาทลงบนพื้นจนเกิดเสียงสนั่น ถ้วยชามในกระเช้ากระทบกันเกรียวกราว จากนั้นก็ทรงแสร้งถอนพระทัยเฮือกใหญ่ พร้อมกับทรงก้มลงฟุบอยู่บนพื้น ทำประหนึ่งว่าถึงแก่วิสัญญีภาพ

ลำดับนั้นพระนางประภาวดีซึ่งกำลังประทับอยู่ในห้อง พอทรงสดับเสียงโครมครามก็ให้ทรงตกพระทัย ทรงรีบเปิดบานทวารออกมาทอดพระเนตรทันที พอทรงเห็นพระโพธิสัตว์ถูกไม้คานหาบกระเช้าทับพระอุระนอนหมดสติอยู่ จึงทรงดำริว่า “ ราชากุสราชพระองค์นี้ทรงเป็นผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง การที่ทรงต้องมาทนยอมลำบากทั้งกลางวันแลกลางคืนก็เนื่องเพราะเราเป็นเหตุ ท้าวเธอทรงเป็นสุขุมาลชาติ (ผู้ดีมีตระกูล) มาแต่กำเนิด มิเคยตรากตรำงานหนักมาก่อน ครั้งนี้ถูกไม้คานเครื่องเสวยทับเอา ไม่รู้จักยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่หรือเปล่า? หรือว่าจักทรงสิ้นพระชนม์แล้ว? ” พอทรงดำริดังนั้นจึงเสด็จออกจากห้องมาทรงก้มดูว่าจอมราชันย์ยังมีพระปัสสาสะ(ลมหายใจ)อยู่หรือไม่

ฝ่ายจอมกษัตริย์ที่ทรงแสร้งทำเป็นสลบ พอทรงเห็นพระชายาทรงก้มลงมา ทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงยกพระหัตถ์คว้าเอาพระวรกายของพระนางเข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระทันที องค์เทวีไม่ทรงคิดว่าจู่ๆจักถูกพระเจ้ากุสราชทรงกระทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่ ก็ถึงกับทรงตกพระทัยเผลอกิริยาผรุสวาทออกไปว่า “ ดูก่อนราชากุสราช ผู้ใดปรารถนาคนที่เขาไม่ปรารถนาตน ผู้นั้นย่อมมีแต่ความเสื่อม หม่อมฉันไม่ได้รักพระองค์ พระองค์ก็จะบังคับให้หม่อมฉันรัก ก็ในเมื่อคนเขาไม่รักไยพระองค์ยังจักปรารถนาให้เขารักอีก! ”

พระมหาสัตว์ครั้นทรงถูกพระชายาด่าว่าแต่ก็หาได้ทรงโกรธเคืองไม่ เนื่องเพราะพระทัยล้วนเปี่ยมไปด้วยความปฏิพัทธ์ในตัวนาง ดังนั้นจึงตรัสว่า “ ดูก่อนประภาวดีเอ๋ย นรชนใดได้คนที่เขาไม่รักมาเป็นคนรัก เราสรรเสริญการได้นี้ว่าเป็นสิ่งดี การไม่ได้ต่างหากที่เป็นความชั่วช้า ” พอพระเจ้ากุสราชตรัสดังนั้นพระธิดาองค์โตของแคว้นมัททะก็ยิ่งทรงพิโรธโกรธเคืองเข้าไปใหญ่ จึงตรัสกลับมาด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าวว่า “ พระองค์ทรงปรารถนาหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันหาได้ปรารถนาพระองค์ เปรียบไปก็เหมือนบุรุษโง่เขลาเอาไม้กรรณิการ์มางัดเพชรที่ฝังอยู่ในหิน เหมือนผู้โง่งมเอาตาข่ายมาดักลม ซึ่งการกระทำทั้งสองย่อมมิอาจเป็นไปได้! ”

พระมหาสัตว์พอทรงสดับ จึงตรัสกลับไปว่า “ เพชรนี้คงฝังอยู่ในใจเจ้าที่แข็งกระด้างเสียเป็นแน่ เ พราะตั้งแต่พี่เหยียบแผ่นดินกรุงสาคละ พี่ยังไม่เคยได้รับความชื่นชมจากเจ้าเลย น้องพี่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองพี่อยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่เจ้ายังคงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้ ตราบนั้นพี่ก็คงต้องเป็นพนักงานเครื่องต้นทำอาหารให้เจ้าเสวยอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ต่อเมื่อใดที่เจ้ายิ้มให้พี่ เมื่อนั้นแลพี่ก็จะเลิกเป็นพนักงานเครื่องต้น แลจักกลับไปเป็นราชากุสราชคนเดิมของเจ้า ”

เทวีประภาวดีพอทรงสดับพระดำรัสของพระมหาสัตว์ จึงทรงดำริขึ้น“ ราชากุสราชผู้นี้ยิ่งพูดก็ยิ่งเซ้าซี้ เห็นทีเราจักต้องกล่าวมุสาวาทให้เธอไปจากที่นี่ด้วยอุบายดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสว่า “ ข้าแต่จอมกษัตริย์ โหรของแคว้นมัททะเคยทำนายหม่อมฉันว่า พระสวามีที่แท้จริงของหม่อมฉันนั้นมิใช่ราชาแห่งแคว้นมัลละ! พวกเขายังสัญญาว่าหากทำนายผิด พวกเขาจักยอมให้หม่อมฉันบั่นร่างออกเป็น ๗ ท่อนเลย ”

จอมราชันพอทรงสดับก็ให้ทรงขบขันเป็นยิ่งนัก จึงตรัสกลับไปบ้าง “ ดูก่อนน้องหญิง โหรของแคว้นมัลละก็เคยทำนายพี่เช่นกัน พวกเขาบอกว่าพระมเหสีของราชากุสราชผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์ มีพละกำลังดุจคชสาร นอกจากพระธิดาองค์โตแห่งแคว้นมัททะแล้ว พระธิดาเมืองใดก็มิคู่ควรกับจอมราชันเยี่ยงพี่ได้! ”

พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ให้ทรงมีพระโมโหโกรธาจนถึงกับพระวรกายสั่น แต่ก็อับจนหนทางไม่ทราบจักทรงตอบโต้ราชันผู้มีพระพักตร์ด้านทนพระองค์นี้ได้อย่างไร ประโยชน์อะไรที่นางจักทรงมายืนโต้เถียงอยู่อย่างนี้ ดังนั้นจึงทรงแสดงกิริยาปั้นปึ่งเสด็จลงส้นพระบาทดังตึงๆกลับเข้าห้องไป พร้อมกันนั้นก็ทรงปิดบานทวารเสียงดังโครมใส่พระพักตร์ของพระเจ้ากุสราช พระมหาสัตว์พอทรงเห็นดังนั้นก็ทรงแอบยิ้มอยู่ในพระทัย จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยกลับยังที่พำนักซึ่งก็คือโรงเครื่องต้นนั่นเอง นับแต่นั้นทั้งสองก็มิได้ทรงพบหน้าค่าตากันอีกเป็นเวลาถึงครึ่งค่อนปี!

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ตั้งแต่ทรงรับหน้าที่เป็นพนักงานเครื่องต้น พระองค์ก็ทรงได้รับความลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจักทรงทำพระกายาหารยังมิพอ ยังต้องทรงผ่าฟืน ล้างภาชนะน้อยใหญ่ พอล้างเสร็จก็ยังต้องทรงไปหาบน้ำเพื่อนำกลับมาใช้อีก แม้แต่ยามบรรทมก็ยังต้องบรรทมอยู่ข้างรางน้ำทิ้ง ตื่นบรรทมก็ต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ต้องเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งนี้ก็เพราะกามราคะความหลงใหลในรูปโฉมของพระนางประภาวดีเป็นเหตุแท้ๆ!

จนวันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นนางค่อมพระพี่เลี้ยงเดินผ่านมาทางห้องเครื่องต้นจึงตรัสเรียกไว้ นางขุชชาค่อมพอได้ยินพระดำรัสแทนที่จักรีบเดินเข้าไปหา ที่ไหนได้กลับเร่งฝีเท้าหนีไปเสียยังงั้น ดังนั้นพระองค์จึงรีบเสด็จตามไปทันที พอทันกันจึงตรัสกับนางว่า “ นี่แน่ะค่อมเอ๋ย! นายเจ้านี่ช่างมีใจจืดใจดำเสียเหลือเกิน เรามาอยู่วังเจ้านานเพียงนี้ คำถามเจ็บไข้ไม่สบายสักคำก็ยังไม่เคยได้ยินจากปากนาง ยกเรื่องของกินของใช้ไม่ต้องพูดถึง ผ้าสักท่อนหมอนสักใบไม่เคยจักมีน้ำใจหยิบยื่นมาให้แม้แต่น้อย แต่ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้เราไม่ติดใจ ว่าแต่เจ้าเถิด หากเราจักขอให้เจ้าทำอะไรสักอย่างจักได้มั้ย? อย่างเช่นจงพานายเจ้ามาพบเราสักครั้ง ไม่ทราบเจ้าสามารถทำได้หรือไม่? หากเจ้าทำได้เราจะให้สร้อยคอทองคำแก่เจ้าเส้นหนึ่ง! ”

นางค่อมพอฟังจอมกษัตริย์จะให้รางวัลเป็นสร้อยคอทองคำก็ตาลุกวาว จึงรีบทูลไปว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตา หากทรงสัญญาจะให้สร้อยทองแก่หม่อมฉัน อย่างนั้นขอพระองค์เชิญเสด็จกลับที่พักไปก่อน อีกสองวันหม่อมฉันสัญญาจักพาองค์เทวีมาพบพระองค์แน่นอน ขอจงทรงรอฟังข่าวดีเถิด ” พอทูลดังนั้นนางก็ขอพระราชอนุญาตกลับยังตำหนักพระธิดา

ถัดจากนั้นสองวันพระพี่เลี้ยงค่อมก็ทำทีเข้าไปทำความสะอาดห้องบรรทมของพระนางประภาวดีเหมือนปกติ แต่ครั้งนี้นางเก็บกวาดอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ จนไม่เหลือสิ่งของใดๆพอจะใช้หยิบจับได้ แม้แต่รองพระบาทนางก็นำออกไปไว้นอกห้องจนหมด จากนั้นก็ลากม้านั่งตัวหนึ่งมาวางคร่อมธรณีประตูเอาไว้ แล้วก็ลากม้านั่งอีกตัวมาวางไว้ด้านตรงข้ามเพื่อใช้สำหรับเป็นที่พาดพระบาท เสร็จแล้วนางก็นั่งลงบนม้านั่งตัวที่คร่อมธรณีประตู พร้อมกับทูลเรียกพระนางประภาวดีให้เสด็จมานอนบนตักนาง เดี๋ยวนางจักหาเหาบนพระเศียรให้

องค์เทวีเมื่อทรงเห็นพระพี่เลี้ยงวางม้านั่งค่อมธรณีประตูก็ให้ทรงรู้สึกสงสัย จึงถามนางว่าไฉนจึงไม่ทำในห้องเหมือนเคย นางขุชชาตอบว่าตรงนี้แสงจ้าดีมองเห็นง่ายขอพระนางโปรดทรงรีบมาโดยไวเถิด พระธิดาประภาวดีเมื่อทรงสดับจึงเสด็จไปบรรทมบนตักนาง

ระหว่างที่องค์เทวีกำลังทรงหลับพระเนตรอยู่บนตักพระพี่เลี้ยงอย่างสบายนั้น มือหนึ่งนางค่อมก็แหวกเส้นพระเกศาแสร้งทำเป็นมองหาไข่เหา อีกมือหนึ่งนางก็ยกขึ้นไปจับเส้นผมของตนเพื่อรูดเอาไข่เหาที่อยู่บนศรีษะกำไว้ในมือ จากนั้นก็แสร้งอุทาน “ ตายจริง! พระเศียรเทวีมีไข่เหาอยู่เต็มเลยเพคะ ” ว่าแล้วนางก็แบมือที่กำไข่เหาให้พระนางประภาวดีทรงทอดพระเนตร “ ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อมจักจัดการให้เกลี้ยงเลย ขอพระธิดาทรงบรรทมให้สบายเถิด ”

ขณะที่มือทำเป็นแหวกเส้นพระเกศาปากก็พร่ำพรรณนาถึงความทุกข์ยากของพระมหาสัตว์ว่า “ ช่างน่าสงสารราชากุสราชเสียจริงเพคะ ทรงยอมสละได้แม้แต่ราชบัลลังก์เพื่อสตรีอันเป็นที่รัก ทรงยอมลำบากแม้จักต้องทรงลุกขึ้นมาหุงหาพระกายาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พอหุงเสร็จก็ต้องทรงหาบเครื่องเสวยตะรอนๆ เอาไปถวายให้ตามพระตำหนักต่างๆอีก พอทุกพระองค์เสวยเสร็จก็ต้องทรงตามมาเก็บถ้วยโถโอชามที่ใช้แล้วเพื่อนำไปล้าง พอทรงล้างเสร็จจักพักสักหน่อยก็ถึงเพลามื้อกลางวันแล้ว ต้องทรงลงมือทำพระกายาหารต่ออีก หมุนไปวนมาอย่างนี้จนถึงเที่ยงคืนสองยามถึงจักได้บรรทม ทั้งนี้ก็เพราะทรงหวังจักได้เห็นหน้านางอันเป็นที่รักเท่านั้น ค่าจ้างค่าแรงก็มิได้ทรงเรียกร้องแต่อย่างใด ทรงหวังเพียงคำปฏิสันถารจากหญิงคนรักเวลาบังเอิญได้พบกันเท่านี้ก็ทรงดีพระทัยแล้ว แต่นี่แม้เพียงคำทักทายสักคำจากหญิงคนรัก ก็ยังมิเคยได้ทรงสดับจากปากของนาง ช่างเป็นชายชาติอาชาไนยผู้น่าสงสารจริงๆ! ”

พระนางประภาวดีพอทรงสดับคำที่พระพี่เลี้ยงพร่ำพรรณนา ก็ทรงให้มีพระพิโรธโกรธาขึ้นมาทันใด จึงทรง
ลุกขึ้นจากตักนางพร้อมกับทรงตวาดออกไปด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า “ เหม่! นางขุชชาค่อม จงรีบหุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! เจ้ามาพูดเช่นนี้ฤามิกลัวว่าเราจักตัดลิ้นเจ้า ไฉนจึงกล้ากล่าววาจาสามหาวเยี่ยงนี้ต่อเราได้! ”

ลำดับนั้นนางค่อมพอเห็นพระธิดาทรงโกรธจริงจัง จึงตัดสินใจผลักนางเข้าไปในห้องทันใด ส่วนตนก็รีบออกจากห้องพร้อมกับปิดบานประตูแลดึงเชือกชักลูกดาล (กุญแจไขประตูสมัยโบราณ) มาเก็บไว้กับตน พระนางประภาวดีเมื่อไม่มีเชือกชักลูกดาลก็มิอาจจะทรงเปิดบานทวารออกจากห้องได้ จึงทรงทุบบานทวารอยู่ด้านในพร้อมกับตรัสให้นางค่อมรีบเปิดบานทวารเป็นการด่วน นางขุชชาซึ่งยืนอยู่ด้านนอกเพื่อจักเกลี้ยกล่อมพระนางจึงทูลว่า

“ ข้าแต่พระแม่เจ้า รูปร่างของท่านนอกจากจักดูงดงามแล้ว ที่เหลือยังจักมีประโยชน์อันใดเล่า มันสามารถจักยังชีวิตผู้คนให้อยู่ได้เหมือนอาหารหรือ? พระเจ้ากุสราชแม้จักทรงมีพระรูปโฉมมิเทียบพระองค์ แต่คุณสมบัติอย่างอื่นกษัตริย์ทั่วทั้งชมพูทวีปหาเทียบได้ไม่ ทรงเป็นมหาราช ทรงเป็นนักปราชญ์เรืองปัญญา ทรงเป็นราชาที่มีทรัพย์มหาศาล ทรงมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก ทรงมีพระราชอาณาจักรกว้างใหญ่ ทรงมีพระทัยรักศิลปะ ทรงมีทักษะด้านการยุทธ์ ทรงมีพระสุรเสียงประดุจราชสีห์ ทรงชำนาญดนตรีการขับร้อง ขอจงทรงไตร่ตรองให้ดีเถิดว่าบุรุษทั่วทั้งแผ่นดิน ยังจักมีผู้ใดมีความสามารถเสมอจอมราชันได้อีก ฉะนั้นขอพระธิดาโปรดทรงกระทำความรักให้บังเกิดกับท้าวเธอเถิด ”

พระนางประภาวดีเมื่อทรงสดับคุณสมบัตินานัปการของพระสวามีแทนที่จักทรงคล้อยตาม ที่ไหนได้กลับยิ่งทรงมีพระโมโหโกรธามากเข้าไปใหญ่ ทรงตวาดกลับไปว่า “ เหม่! นางขุชชาค่อม เจ้านี่ช่างเป็นคนอกตัญญูเสียจริง เจ้าคิดจะขู่เรารึ? ” พี่เลี้ยงค่อมพอฟังจึงตอบว่า “ หามิได้ หม่อมฉันมิได้ขู่ หากแต่คอยปกป้องพระนางต่างหาก ที่ผ่านมาหม่อมฉันมิได้ทูลองค์เหนือหัวว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว ก็เพราะเห็นแก่พระนาง อย่างไรเสียเพลานี้จักเข้าไปทูลให้ทรงทราบ ก็น่าจักยังไม่สายเกินไป! ” องค์เทวีพอทรงสดับก็ให้ทรงหวาดหวั่นว่าจักมีผู้อื่นแอบได้ยิน ดังนั้นจึงทรงจำพระทัยยอมรับปากนาง

ฝ่ายพระมหาสัตว์หลังจากทรงตกลงกับนางค่อมแล้ว ผ่านไปหนึ่งวันไม่ทรงเห็นนางมารายงานผล ก็ให้ทรงรู้สึกกระวนกระวายพระทัย และยิ่งพอบวกกับความลำบากเรื่องที่อยู่ที่บรรทม ตลอดจนภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จึงทรงคิดว่านางค่อมผู้นี้เห็นทีคงจักพึ่งไม่ได้เสียเป็นแน่ แม้จักทรงอยู่ที่นี่ต่อก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของหญิงสุดที่รัก ดังนั้นจึงทรงคิดจะกลับแคว้นมัลละไปเยี่ยมพระมารดากับพระบิดา เพลานั้นท้าวสักกะซึ่งทรงเฝ้าดูพฤติการณ์ของพระมหาสัตว์อยู่ตลอดเวลา พอทรงเห็นองค์โพธิสัตว์ทรงท้อพระทัย จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงทรงดำริขึ้น “ ราชากุสราชไม่ได้เห็นหน้าพระนางประภาวดีมาเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว จึงให้รู้สึกท้อแท้ ครั้งนี้เราจักทำให้เธอสมประสงค์! ”

เมื่อทรงดำริดังนี้ บัดนั้นจอมเทพผู้เกรียงไกรจึงทรงรับสั่งให้เทพใต้พระบัญชาปลอมเป็นราชทูต ๗ ขบวน อ้างเป็นทูตจากกรุงสาคละ เดินทางไปยังแคว้น ๗ แคว้น เพื่อส่งสาสน์ให้พระราชาแต่ละแคว้นทราบว่าพระนางประภาวดีทรงเป็นอิสสระจากพระเจ้ากุสราชแล้ว ขณะนี้กำลังประทับอยู่ที่กรุงสาคละ หากพระราชาแคว้นนั้นมีพระประสงค์จักรับนางไปเป็นพระชายา ก็จงรีบเสด็จมารับเอาเถิด พระราชาทั้ง ๗ พอทราบ จึงต่างพากันยกทัพมายังกรุงสาคละเพื่อจักมารับเอาตัวพระธิดาองค์โตแคว้นมัททะไปเป็นชายาตน

พอทัพทั้ง ๗ ยกมาถึงเขตพระนครชั้นนอกของกรุงสาคละ ราชาแต่ละแคว้นถึงทรงทราบว่ามิได้มีแต่พระองค์เพียงผู้เดียวที่ต้องการพระนางประภาวดี แต่ยังมีกษัตริย์อีกถึง ๖ แคว้นก็ทรงมีพระประสงค์เช่นเดียวกัน เมื่อกษัตริย์แต่ละแคว้นต่างรู้ความจริง ดังนั้นบรรดาท้าวเธอจึงทรงเข้าร่วมปรึกษาหารือกันเพื่อหาทางแก้เผ็ดพระเจ้ามัททะ พระราชาแคว้นหนึ่งได้ตรัสต่อที่ประชุมว่า

“ ดูเถิดท่านทั้งหลาย ก็ราชามัททะนี้มีพระนางประภาวดีผู้เลอโฉมอยู่เพียงนางเดียว แต่จะยกให้กับลูกเขย ๗ คน ช่างเป็นการกระทำของคนบ้าใบ้เสียสติจริงๆ สงสัยคงจักเห็นพวกเราเป็นทารกอมมือกระมัง จึงแกล้งหยอกล้อเยี่ยงนี้? ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเราจงช่วยกันจับราชาพระองค์นี้มาลงโทษเถิด! ” เมื่อราชาทั้งเจ็ดต่างก็มีความเห็นตรงกัน ดังนั้นแต่ละแคว้นจึงส่งพระราชสาสน์ไปยังแคว้นมัททะให้ส่งพระนางประภาวดีมาให้แคว้นตน มิฉะนั้นกรุงสาคละจักต้องเรียบเป็นหน้ากลอง

ด้านพระเจ้ามัททะผู้ทรงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอทรงสดับพระราชสาสน์ของกษัตริย์เจ็ดแคว้น ก็ทรงให้ตกพระทัยเป็นกำลัง รีบรับสั่งให้มหาดเล็กไปตามเสนาอำมาตย์ตลอดจนแม่ทัพนายกองทั้งหลายมาเข้าเฝ้าทันที หลังจากที่เหล่าเสนาอำมาตย์แลแม่ทัพได้ปรึกษาหารือกัน จึงทูลราชามัททะว่า

“ ขอเดชะ ราชาทั้ง ๗ แคว้นเสด็จมาเพราะประสงค์จักได้พระธิดาประภาวดีไปเป็นพระชายา หากพระองค์มิทรงยกนางให้ ท้าวเธอทั้งเจ็ดก็จักทรงยกทัพมาพังกำแพงเมืองเรา เห็นทีครานี้แคว้นเราคงจักต้องถึงกาลย่อยยับเสียเป็นแน่! ฉะนั้นพวกกระหม่อมเห็นว่าพระองค์ควรทรงส่งพระราชธิดาไปให้กษัตริย์เหล่านั้นเสีย พระเจ้าข้า ” ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงคำนึงขึ้น

“ หากเรายกลูกสาวให้กษัตริย์แคว้นใดแคว้นหนึ่ง กษัตริย์ที่เหลือก็คงจักต้องยกทัพเข้ามาตีเมืองเรา แต่เราถ้าไม่ยกให้ใครเลย กรุงสาคละก็หนีไม่พ้นจักต้องพินาศอยู่ดี เฮ้อ! ช่างเป็นเรื่องที่ยากจักหาทางออกเสียจริง! ก็เพราะนางลูกไม่รักดีกลับทิ้งพระราชาผู้เลิศกว่าใครในชมพูทวีปมาโดยรังเกียจว่ารูปชั่ว บัดนี้เมื่อกรรมตามมาถึง เห็นทีคงต้องปล่อยให้นางรับผลแห่งการกระทำของตนไปแต่เพียงผู้เดียว! ” พอทรงดำริดังนี้จึงจำตัดพระทัยตรัสต่อที่ประชุมว่า

“ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความสงบสุขของบ้านเมืองแลอาณาประชาราษฎร์จักต้องมาก่อน ก็พระธิดาประภาวดีคือต้นเหตุแห่งปัญหา ฉะนั้นเพื่อมิให้เหล่าพสกนิกรตลอดจนไพร่พลทั้งหลายต้องมาล้มตาย เราจักสั่งประหารนางลูกไม่รักดีคนนี้เสีย จากนั้นตัดแบ่งร่างนางออกเป็น ๗ ท่อนส่งให้กับพระราชาเจ็ดแคว้นก็แล้วกัน! ” พอทรงประกาศดังนั้นทั่วทั้งท้องพระโรงที่อึงคะนึงไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ บัดนั้นก็ให้เงียบกริบลงไปราวกับว่าห้องโถงที่กว้างใหญ่ไร้ซึ่งผู้คน เนื่องจากไม่มีผู้ใดคิดว่าองค์ราชาจักทรงตัดสินพระทัยเยี่ยงนี้ นางกำนัลนางหนึ่งซึ่งนั่งแอบฟังอยู่ด้านนอก พอได้ยินพระดำรัสขององค์เหนือหัวก็ถึงกับตกใจจนหน้าซีด ค่อยๆขยับตัวถอยมา พอพ้นสายตาของเหล่าทหารรักษาวังก็รอช้า รีบวิ่งมาทูลให้พระนางประภาวดีได้ทรงรับทราบทันที

องค์เทวีผู้ทรงมีสีพระวรกายดั่งทองคำ ทรงผ้าโกไสยพัสตร์ พอทรงสดับคำพูดของหญิงรับใช้ก็ถึงกับทรงมีสีพระพักตร์ซีดเผือดลงทันที พระเนตรทั้งสองหลั่งนองไปด้วยพระอัสสุชล ทรงนั่งนิ่งๆโดยไม่ตรัสคำใดทั้งสิ้นจากนั้นสักพักจึงทรงค่อยๆลุกขึ้นจากที่ประทับ เสด็จพระราชดำเนินไปยังตำหนักพระมารดาราวกับคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง พอเสด็จไปถึงก็ทรงรำพึงรำพันต่อพระพักตร์พระมารดาว่า

“ ข้าแต่พระมารดา ขอพระมารโปรดจำดวงหน้าอันงดงามของลูก ดวงเนตรอันสุกสกาว แลผิวที่ผ่องเป็นนวลใยนี้ไว้เถิด อีกไม่กี่เพลามันก็จักไม่ปรากฏให้ทรงได้เห็นอีกแล้ว กษัตริย์ทั้งเจ็ดแคว้นจักใช้ดาบอันคมกริบมาเชือดมาเฉือนมันแล้วโยนทิ้งเสียในป่า ฝูงแร้งกาก็จะพากันมารุมจิกกินแย่งชิงเนื้อหนังของลูกกันให้สับสนอลหม่าน ฝ่ามืออันอ่อนละมุนแลมีเล็บแดงชมพูนี้ ก็จะถูกกษัตริย์ทั้งหลายตัดทิ้ง แล้วโยนให้ฝูงสุนัขจิ้งจอกกัดแทะกัน ข้าแต่พระมารดา หากกษัตริย์เหล่านั้นได้นำเอาเนื้อของลูกไปจนหมดสิ้นแล้วขอพระมารดาโปรดทรงนำเอากระดูกของลูกจากพวกเขามาเผาเสีย แลขอโปรดทรงปลูกสวนกรรณิการ์ไว้ในสถานที่ที่เผาศพลูกด้วยเถิด ยามใดที่ดอกกรรณิการ์เบ่งบาน ปุยหิมะตกโปรยปรายในเหมันตฤดู กาลนั้นขอพระมารดาโปรดพึงระลึกนึกถึงว่า ครั้งหนึ่งพระมารดาทรงเคยมีบุตรสาวที่มีผิวพรรณเยี่ยงนี้! ”

พระมเหสีแห่งแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพร่ำเพ้อของบุตรสาว ก็มิอาจทรงจับต้นชนปลายได้ จึงถามนางกำนัลที่ตามเสด็จพระธิดาถึงรายละเอียด พอทรงทราบว่าพระเจ้ามัททราชมีรับสั่งให้ประหารบุตรสาวก็รีบเสด็จไปเข้าเฝ้าทันที พอไปถึงก็ทรงมีพระดำรัสกับจอมราชาว่า “ ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงประหารธิดาหม่อมฉันแล้วบั่นเป็นท่อนส่งให้กษัตริย์ทั้งเจ็ดแคว้นจริงหรือเพคะ! ” ราชามัททะเมื่อทรงสดับก็ทรงพยายามกลั้นพระอัสสุชลมิให้หลั่งไหล ทรงแสร้งตอบพระชายาไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าวว่า

“ เป็นเช่นนั้นจริง ก็ธิดาท่านมาทอดทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปไปด้วยรังเกียจว่ารูปชั่วไยเล่า ที่ผ่านมาท้าวเธอไม่ทรงติดพระทัยเอาความก็ถือว่าเป็นบุญของแคว้นเราแล้ว บัดนี้เมื่อความพินาศกำลังจักกล้ำกลายบ้านเมือง นอกจากหนทางตายแล้ว ไม่มีวิธีอื่น ฉะนั้นพระธิดาประภาวดีจักต้องรับผลแห่งความทะนงในรูปโฉมของตนที่มีต่อพระเจ้ากุสราช! ”

องค์มเหสีพอทรงสดับก็เหมือนหนึ่งว่าดวงพระทัยจักขาดสียให้ได้ ค่อยๆเสด็จกลับพระตำหนักดังราวกับคนไร้ซึ่งวิญญาณ เมื่อเสด็จมาถึงทรงเห็นพระพักตร์ของธิดาเปี่ยมไปด้วยพระอัสสุชลเต็มสองเบ้า ก็ทรงหลั่งน้ำพระเนตรตามไปด้วย จากนั้นจึงค่อยๆตรัสปลอบบุตรสาวว่า

“ ลูกเอ๋ย! บิดาเจ้าไม่อาจทำตามคำขอของแม่ได้ เห็นทีวันนี้เจ้าคงไม่แคล้วจักต้องไปสู่สำนักแห่งพระยายมเสียเป็นแน่ ก็บุตรคนใดไม่เชื่อฟังบิดามารดาผู้เห็นประโยชน์แห่งลูกหลาน บุตรคนนั้นย่อมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเยี่ยงนี้แล ที่ผ่านมาหากเจ้าไม่ทิ้งราชากุสราชกลับแคว้นเรา วันนี้ก็คงไม่มีเรื่องเยี่ยงนี้ ประภาวดีเอ๋ย! เสียงกลองชัยที่ดังตึงๆ เสียงช้างศึกที่แผดกังวานก้อง เจ้าเห็นตระกูลไหนยิ่งใหญ่กว่าตระกูลแห่งพระสวามีเจ้าหรือไม่ ไฉนเจ้าจึงจากมา? เสียงนกยูงนกดุเหว่าที่กู่ขับขาน เสียงกุมารร้องรำทำเพลง เจ้าเห็นตระกูลไหนจักมีความสุขยิ่งกว่าตระกูลแห่งพระสวามีเจ้าหรือไม่ ไฉนเจ้าจึงจากมา? ถ้าวันนี้พระเจ้ากุสราชผู้เป็นจอมราชันประทับอยู่ที่นี่ มีหรือกษัตริย์ทั้งเจ็ดจักกล้ามาแสดงกิริยาที่กำแหงถึงปานนี้ คงจะถูกจอมกษัตริย์ขับไล่เสียจนแตกกระเจิงเป็นแน่ แต่เจ้ากลับทำลายเกราะคุ้มภัยของเจ้าด้วยตนเอง แล้วอย่างนี้จะโทษใครเล่า? ”

พระนางประภาวดีพอทรงสดับคำพระมารดาที่ว่า หากพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่ก็คงจักทรงขับไล่กษัตริย์เหล่านี้จนแตกกระเจิง ก็เหมือนหนึ่งว่าคนที่ติดอยู่ในถ้ำอันมืดมิด จู่ๆก็เห็นแสงสว่างส่องเข้ามาจากปากถ้ำ ทรงอุทานขึ้นในพระทัยว่า “ ก็พระเจ้ากุสราชผู้ทรงพระปรีชาสามารถเพลานี้ก็ทรงอยู่ในพระราชวังของเรามิใช่รึ? เช้าที่ผ่านมายังทรงหาบเครื่องเสวยมาส่งเราเหมือนเคย จำเราจักบอกความจริงให้พระมารดาทราบเสียเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับพระมเหสีว่า

“ ข้าแต่พระมารดา ก็พระเจ้ากุสราชผู้มีพระปรีชาอันยอดเยี่ยม สามารถย่ำยีกษัตริย์ทั้งเจ็ดให้พ่ายแพ้ราบคราบได้ เพลานี้พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นี่แล้วนี่เพคะ! ” องค์มเหสีพอทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกสงสารบุตรสาวขึ้นมาจับใจ ทรงคิดว่าลูกตนคงจักกลัวความตายเสียจนสติเลอะเลือน ดังนั้นจึงตรัสปลอบโยนว่า “ โถ! ลูกแม่ เจ้าคงจักกลัวตายเสียจนสติเลอะเลือนแล้ว หากพระเจ้ากุสราชอยู่ที่นี่มีหรือแม่จะไม่รู้ เพียงพระองค์เสด็จมาถึงกึ่งทางก็จะต้องส่งพระราชสาส์นมายังแคว้นเราแล้ว แลยิ่งหากทรงรู้ว่าแคว้นเรากำลังมีเรื่องคอขาดบาดตายอยู่ มีหรือพระองค์จักไม่ทรงปรากฏกายออกมาช่วยเหลือ แต่พระเจ้ากุสราชที่ลูกเพ้อนั้นคงจักกลัวตายเสียล่ะกระมัง? จึงมิเห็นแม้เงา! ”

พระธิดาประภาวดีพอทรงเห็นพระมารดาไม่ทรงเชื่อ จึงตรัสว่า “ หากพระมารดาทรงไม่เชื่ออย่างนั้นขอจงเสด็จไปที่บานพระแกลแล้วทรงทอดพระเนตรไปที่โรงเครื่องต้นซิเพคะ พนักงานที่ทรงพระภูษาหยักรั้งแหละกำลังทรงก้มพระองค์ล้างถ้วยชามอยู่ นั่นก็คือพระเจ้ากุสราช แหละพระองค์ก็ประทับอยู่ที่วังเราเป็นเวลาถึงเจ็ดเดือนแล้วเพคะ ” ลำดับนั้นพระมเหสีแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพระธิดาจึงทรงเพ่งสายพระเนตรจ้องไปที่พระพักตร์นาง ขณะเดียวกันก็ทรงค่อยๆย่างพระบาทไปยังบานพระแกล พอถึงก็ทรงหันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรตามที่พระนางประภาวดีตรัส

บัดนั้นองค์มหาเทวีก็ทรงเห็นพระมหาสัตว์ในฉลองพระองค์อันเก่าซอมซ่อ ดูแล้วไม่ต่างจากพวกไพร่ทาสกำลังก้มตัวล้างถ้วยชามอยู่ พอทรงเห็นดังนั้นพระแม่เจ้าก็ถึงกับทรงเผลอพระองค์ตรัสบริภาษบุตรสาวไปด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า “เหม่! ประภาวดี! ไฉนเจ้าจึงเป็นหญิงจัณฑาลประทุษร้ายต่อตระกูลถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นถึงพระราชธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราช เหตุใดจึงเปรียบพระสวามีด้วยชนชั้นต่ำเยี่ยงทาสเล่า? ” ผู้เป็นบุตรสาวเมื่อถูกพระมารดาทรงตำหนิจึงตรัสว่า

“ หม่อมฉันหาได้เป็นหญิงจัณฑาล แลหาได้ประทุษร้ายต่อตระกูลเหมือนดั่งที่พระมารดาตรัสไม่ ที่ทรงเห็นนั้นก็คือพระเจ้ากุสราชพระโอรสของพระเจ้าโอกกากราชจริงๆเพคะ! พระราชาองค์ใดสามารถเชิญให้พราหมณ์สองหมื่นคนมาบริโภคอาหารในเวลาใดก็ได้ พระราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! พระราชาองค์ใดสามารถสั่งทหารให้เตรียมช้างศึกสองหมื่นเชือก เตรียมรถศึกสองหมื่นคันในเวลาใดก็ได้ พระ ราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! หากแต่พระมารดาทรงเข้าพระทัยผิดไปเองว่าพระองค์ทรงเป็นทาส ขอถวายพระพร! ”

มเหสีแคว้นมัททะเมื่อทรงสดับคำพรรณนาพระอิสริยยศของพระมหาสัตว์จากปากลูกสาวด้วยคำพูดที่หนักแน่นไม่สะทกสะท้าน ก็ทรงดำริอยู่ในพระทัยว่า “ ฤาลูกเราจักกล่าวความจริง เพราะดูจากท่าทางที่นางพูดเหมือนจักมิได้โกหก เห็นทีเราควรไปทูลให้องค์เหนือหัวได้ทรงรับทราบไว้ก่อนท่าจักดี ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงเสด็จไปยังท้องพระโรงทันที

ฝ่ายพระราชาธิบดีซึ่งกำลังทรงย่างพระบาทวนไปแล้วก็วนมาครุ่นคิดถึงปัญหาที่หนักพระอุระอยู่ในเวลานี้ พอทรงเห็นพระมเหสีเสด็จมา จึงตรัสถามว่ามาด้วยเรื่องใด เมื่อทรงสดับเรื่องราวที่พระชายาทูลถวายก็มิทรงรอช้า รีบเสด็จมายังตำหนักพระนางพร้อมกับองค์มหาเทวีทันที เมื่อเสด็จมาถึงก็ทรงเห็นบุตรสาวไม่รักดียังนั่งร้องไห้อยู่ จึงตรัสถามว่า “ ดูก่อนประภาวดี สิ่งที่แม่เจ้าพูดป็นความจริงหรือไม่? ” พระธิดาแคว้นมัททะพอทรงสดับจึงทรงตอบไปว่า “ เป็นจริงเพคะ! ” ราชามัททะพอทรงได้ฟังก็ให้ทรงแช่มชื่นพระทัยขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ทรงยอมเชื่อเสียทีเดียว ทรงหันไปตรัสถามนางค่อมที่หมอบข้างๆว่าจริงหรือไม่

นางขุชชาค่อมพอได้ฟังพระดำรัสยังมิทันที่จอมราชาจักตรัสจบก็รีบตอบไปว่า “ เป็นจริงทุกประการเหมือนดังที่พระธิดาตรัสเพคะ ” พระเจ้ามัททราชพอได้รับการยืนยันจากพระพี่เลี้ยงก็ให้ทรงโล่งพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอทรงนึกถึงการกระทำของบุตรสาวก็ทรงกลับมามีพระโมโหอีก จึงทรงหันมาตรัสบริภาษลูกสาวด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า

“ เหม่! นังลูกไม่รักดี ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเอาเสียเลย พระเจ้ากุสราชผู้เป็นพระสวามีเจ้าทรงมีทแกล้วทหารกล้ามากมายเหลือคณานับ มีช้างศึกม้าศึกมากกว่ากองทัพใด ทรงมาพำนักที่วังเราตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว แต่เจ้ากลับเพิ่งมาบอกตอนนี้ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เดี๋ยวรอให้พ่อเข้าเฝ้าพระองค์ก่อน แล้วจะมาคิดบัญชีกับเจ้า! ”

หลังทรงติเตียนบุตรสาวเป็นการใหญ่แล้ว พระราชาธิบดีก็เสด็จไปยังสำนักของพระมหาสัตว์ เมื่อทรงไปถึงก็ทรงมีพระปฏิสันถารกับจอมราชันถึงความผิดบุตรสาว ที่มิได้แจ้งให้พระองค์ทราบว่าพระมหาสัตว์เสด็จมาถึงแคว้นพระองค์ตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนก่อน ซ้ำยังทรงปลอมพระองค์เป็นพนักงานเครื่องต้นอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงการขอโทษอย่างจริงพระทัย ราชามัททะจึงทรงคุกเข่าก้มลงกราบพระเจ้ากุสราชผู้เป็นพระชามาดา (ลูกเขย) แทนบุตรสาว

พระมหาสัตว์พอทรงเห็นพระสัสสุระ(พ่อตา)ทรงก้มลงกราบตน ก็ทรงรีบเข้าไปประคองให้ทรงลุกขึ้นทันที จากนั้นได้ตรัสกับพ่อตาว่า “ หม่อมฉันมิได้ปกปิดการมาของหม่อมฉันต่อพระองค์เลยพระเจ้าข้า แลพระองค์ก็มิได้ทรงมีความผิดใดที่หม่อมฉันจักต้องงดโทษให้ ” พระเจ้ามัททะพอทรงสดับคำลูกเขยก็ทรงให้ดีพระทัย จึงเสด็จกลับตำหนักเพื่อตรัสให้บุตรสาวมากราบขอขมาโทษต่อพระราชาแห่งแคว้นมัลละ “ ดูก่อนนางลูกไม่รักดี เจ้าจงรีบไปขอขมาโทษต่อพระสวามีเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! ดูซิพระองค์ยังจักทรงประทานชีวิตให้กับเจ้าอีกหรือไม่! ”

พระนางประภาวดีครั้นสดับคำพระบิดา จึงเสด็จมายังโรงเครื่องต้นพร้อมด้วยพระภคินีทั้งเจ็ดและนางบริจาริกาอีกเป็นจำนวนมาก ลำดับนั้นพระมหาสัตว์เมื่อทรงเห็นพระชายาสุดที่รักกำลังเสด็จมาจึงทรงคำนึงขึ้น “ วันนี้เราจักทำลายทิฐิการทะนงตนของนางให้จงได้ เราจักต้องให้นางหมอบลงบนโคลนใกล้กับเท้า คอยดูเถอะ! ” เมื่อทรงดำริดังนี้ก่อนที่พระนางประภาวดีจะเสด็จมาถึงราชากุสราชจึงทรงเทน้ำลงบนดินรอบบริเวณที่ประทับ จนลานดินรอบๆเฉอะแฉะกลายเป็นโคลนขึ้นมา

พอพระชายาผู้มีผิวพรรณผุดผ่องราวกับทองคำเสด็จมาถึง จอมราชันก็คอยทรงมองว่าพระนางจักทรงแสดงอากัปกิริยาเยี่ยงไรที่เห็นพื้นสกปรก แต่แทนที่จอมกษัตริย์จักทรงเห็นท่าทางที่ขยักแขยงของนาง ที่ไหนได้องค์เทวีกลับทรงก้มลงกราบขอขมาโทษต่อพระองค์ด้วยกิริยาอันนอบน้อมบนพื้นที่เฉอะแฉะ โดยมิได้ทรงสนพระ ทัยเลยว่าดินโคลนที่สกปรกนั้นจักทำให้ฉลองพระองค์เปรอะเปื้อนหรือไม่ ทรงซบพระเศียรลงกอดพระยุคลบาทของพระมหาสัตว์พร้อมกับตรัสขออภัยต่อพระองค์ว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ตลอดเจ็ดเดือนหม่อมฉันมิเคยได้อยู่รับใช้พระองค์เลย หม่อมฉันรู้สึกสำนึกผิดถึงการกระทำของตนเป็นยิ่งนัก นับแต่นี้ไปไม่ว่าพระองค์จักทรงบัญชาให้หม่อมฉันทำอะไร หม่อมฉันสัญญาว่าจักปฏิบัติตามทุกประการ หม่อมฉันจะไม่แสดงท่าทีรังเกียจต่อพระองค์ให้ทรงเห็นอีกเป็นอันขาด ขอพระองค์โปรดทรงงดโทษให้กับหม่อมฉันด้วย หากพระองค์ไม่ทรงอภัย เห็นทีพระบิดาคงจักให้เพชฌฆาตตัดร่างหม่อมฉันออกเป็นท่อนๆ แล้วส่งให้กษัตริย์ทั้งเจ็ดเป็นแน่! ”


พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับคำขออภัยจากนางอันเป็นที่รัก ก็ทรงดำริขึ้น “ ครั้งนี้หากเราไม่อภัย เห็นทีนางคงจักต้องหัวใจแตกสลายเป็นแน่ จำเราจักปลอบนางให้คลายจากความกังวลเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสว่า “ ดูก่อนประภาวดี เมื่อน้องยอมลดศักดิ์ศรีมาขอขมาพี่ มีหรือพี่จักไม่ให้อภัย พี่ไม่เคยโกรธเจ้าผู้มีผิวประดุจรัศมีจันทร์เลย โปรดอย่ากังวล พี่ขอสัญญานับแต่นี้ไปพี่จักไม่แกล้งเจ้าอีก ที่ผ่านมาถ้าพี่โกรธเจ้าด้วยความสามารถของพี่มีหรือบ้านเมืองเจ้าจักดำรงคงอยู่ได้ถึงป่านนี้ แต่เพราะพี่รักเจ้าต่างหาก ถึงสู้ยอมทนลำบากมาเป็นพนักงานเครื่องต้นคอยปรุงอาหารให้เจ้าเสวย เจ้าคงจักเห็นถึงความรักที่พี่มีต่อเจ้าแล้วนะ เอาล่ะบัดนี้เมื่อพี่ยังอยู่ทั้งคน กษัตริย์แคว้นใดยังจักกล้ามาแย่งเอาพระมเหสีของพี่ไปอีกก็ลองดู ถ้ามันไม่กลัวหัวหลุดจากบ่า! ” ตรัสแล้วราชากุสราชก็ทรงประครองพระชายาให้ลุกขึ้นพร้อมกับให้นางไปคอยที่บนตำหนักก่อน จากนั้นพระองค์ก็เสด็จจากโรงเครื่องต้นไปยังพระลานหลวงทันที

เมื่อเสด็จไปถึงจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็ทรงสำแดงเดชานุภาพด้วยการบันลือสีหนาทเปล่งพระสุรเสียงกู่ก้องจนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพระลานหลวง ยังผลให้ชาวเมืองตลอดจนข้าราชบริพารที่อยู่แถวนั้นพากันตระหนกตกใจกันไปตามๆกัน หลังจากทรงบันลือสีหนาทแล้วพระองค์ก็ทรงตบพระหัตถ์ติดๆกัน จนเกิดเป็นเสียงก้องกังวานไปทั่ว จากนั้นก็ทรงประกาศต่อชาวเมืองที่ออกมาดูว่า

“ ดูก่อนชาวสาคละนคร เราราชากุสราชพระชามาดาแห่งแคว้นมัททะ บัดนี้เราจักจับเป็นกษัตริย์ทั้งเจ็ดให้ท่านทั้งหลายได้ประจักษ์เต็มสองตา! ขอพวกท่านจงคอยดูเถิด ” หลังจากทรงประกาศศักดานุภาพต่อหน้าชาวเมือง จอมกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละก็เสด็จกลับมาเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททะ เพื่อจักทรงขอยืมไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนช้างศึกม้าศึกต่อพระราชาธิบดีว่า “ ข้าแต่พระสัสสุระ ขอพระองค์โปรดเสด็จไปทรงสรงสนานแลพัก ผ่อนคลายพระอิริยาบถให้เป็นที่สบายพระทัยเถิด เรื่องการศึกไว้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเอง ” ราชามัททะพอทรงสดับดังนั้นก็ให้ทรงเบิกบานพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงหันไปตรัสกับเหล่าอำมาตย์ว่าให้ช่วยทำการอุปัฏฐากจอมราชันอย่าให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด จากนั้นก็เสด็จกลับขึ้นปราสาทไป

บรรดาอำมาตย์พอรับพระบัญชาต่างก็พากันจัดแจงกั้นพระวิสูตรล้อมรอบโรงเครื่องต้นทันที จากนั้นก็ให้ช่างกัลบกเข้าไปตัดพระเกศา ปลงพระมัสสุ (หนวด) พอโกนหนวดตัดผมเสร็จก็ให้นางกำนัลมาช่วยอาบสรงให้กับพระมหาสัตว์ หลังจากทรงชำระพระวรกายแล้ว เหล่าอำมาตย์ก็ให้เจ้าพนักงานนำเครื่องทรงแลเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์มาแต่งให้กับจอมราชัน จากนั้นจึงอัญเชิญพระเจ้ากุสราชให้เสด็จขึ้นสู่สีหบัญชรเพื่อทรงทอด พระเนตรกองทัพข้าศึกที่ยกมาล้อมเมือง

จอมราชาเมื่อทรงยืนอยู่หน้าสีหบัญชรได้ทรงมองออกไปรอบด้าน พร้อมกับทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ จากนั้นก็ทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้องออกไปว่า “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงคอยดูเราจัดการกับพวกข้าศึกเถิด ” บรรดานางสนมนางกำนัลเมื่อทราบว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จขึ้นสีหบัญชร ต่างก็พากันเปิดหน้าต่าง เปิดประตูออกมาดูพระกิริยาท่าทางของพระองค์ที่ทรงเยื้องกราย ทรงปรบพระหัตถ์ ทรงเปล่งพระสุรเสียง กันอย่างตื่นตาตื่นใจ

เพลานั้นมหาดเล็กได้มาถวายรายงานว่าบัดนี้พระเจ้ามัททะได้ทรงจัดเตรียมช้างศึกม้าศึกพร้อมไพร่พลให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์ทรงบัญชามาเถิดว่าจักให้ออกศึกเมื่อใด พอทรงสดับดังนั้นจอมกษัตริย์จึงเสด็จลงจากสีหบัญชรขึ้นประทับบนคอช้างซึ่งมีเศวตฉัตรประดับด้วยอัญมณีอันวิจิตรตระการตา และก่อนจักทรงไสช้างออกนอกประตูเมืองพระองค์ได้ตรัสให้ทหารไปพาพระนางประภาวดีมาพบ พอพระนางเสด็จมาถึงพระองค์ก็ทรงให้องค์เทวีขึ้นประทับบนอาสน์ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) อันมีจตุรงคินีเสนา (กองทัพที่ประกอบ ด้วยกำลังพล ๔ เหล่า คือ เหล่าช้าง เหล่าม้า เหล่ารถ และ เหล่าราบ ) แวดล้อมเป็นกระบวนทัพ จากนั้นจึงเสด็จออกศึกทางประตูด้านทิศปราจีน

ทัพพระมหาสัตว์พอเคลื่อนพ้นประตูเมือง จอมกษัตริย์ได้ตรัสให้หยุดทัพอยู่ที่หน้ากำแพงก่อน จากนั้นพระองค์ก็ทรงไส้ช้างออกไปยืนอยู่หน้าขบวนแต่เพียงผู้เดียว ทรงกวาดพระเนตรดูทัพข้าศึกที่ตั้งประจันหน้า แล้วบัดนั้นพระองค์ก็ทรงเปล่งพระสุรสีหนาทออกไปว่า “ ดูก่อนเจ้าผู้มีใจบังอาจทั้งหลาย เราราชากุสราช ราชบุตรแห่งพระเจ้าโอกกากราช ใครที่ยังรักชีวิตอยู่ก็จงยอมอ่อนน้อมให้กับเราเสียบัดนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าจักต้องกลายเป็นผีหัวขาดด้วยกันทั้งหมด! ”

กษัตริย์ทั้ง ๗ พอทรงทอดพระเนตรเห็นพระรูปร่างอันสูงใหญ่เกินกว่าบุรุษทั่วไปเกือบเท่าตัวของพระมหาสัตว์ ได้ยินพระสุรสีหนาทที่ทรงบันลือประดุจราชสีห์คำราม ต่างก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำจนถึงกับพระหัตถ์อ่อน แม้แต่พระขรรค์ที่ทรงถืออยู่ก็ยังมิอาจที่จักกำไว้ได้ ต้องปล่อยให้ร่วงลงพื้นเกรียวกราว แต่ละพระองค์ต่างก็รีบไสช้างหันหลังกลับ หนีเอาชีวิตรอดกันไปคนละทิศคนละทาง บรรดาไพร่พลเมื่อเห็นผู้เป็นนายรักตัวกลัวตาย หนีเอาตัวรอดไปแต่เพียงผู้เดียว ต่างก็พากันแตกตื่นขวัญเสีย พากันทิ้งอาวุธหลบหนีตามผู้เป็นนายไปราวกับฝูงมฤคได้ยินเสียงคำรามของพญาราชสีห์ยังไงยังงั้น จนกองทัพทั้งเจ็ดเกิดความระส่ำระสายไม่เป็นรูปขบวน

เพลานั้นท้าวสักกะมเหสักขเทวราชแห่งตาวติงสา เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นราชากุสราชทรงมีชัยเหนือกษัตริย์เจ็ดแคว้นโดยมิได้เสียเลือดเสียเนื้อแต่อย่างใด ก็ให้ทรงชื่นชมในความสามารถของพระมหาสัตว์เป็นอย่างยิ่ง จึงเสด็จลงจากเทวโลกมาปรากฏกายยังเบื้องพระพักตร์ของจอมราชัน พร้อมกับทรงยื่นลูกแก้ววิเศษชื่อ เวโรจนะ ให้แก่พระมหาสัตว์เพื่อเป็นรางวัล จอมกษัตริย์เมื่อทรงเห็นราชาแห่งเทพเสด็จลงจากฟากฟ้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพระองค์ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปรับลูกแก้ววิเศษไว้ แต่ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์นัก พอพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์สัมผัสกับลูกแก้วเท่านั้น พระพักตร์ที่ดูขี้ริ้วอัปลักษณ์บัดนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นผ่องใสงดงาม ราวกับเทพบุตรจำแลงมายังไงยังงั้น!

หลังจากทรงมีชัยชนะเหนือข้าศึกราชากุสราชก็ทรงนำทัพเสด็จกลับเข้าเมือง พร้อมกันนั้นก็ทรงให้ทหารนำตัวกษัตริย์ทั้งเจ็ดไปยังท้องพระโรง พอทหารพากษัตริย์เจ็ดมาถึงพระองค์ได้ตรัสกับพระสัสสุระว่า “ ขอเดชะมหาราชา! กษัตริย์ทั้ง ๗ นี้บังอาจกล้ายกทัพมารุกรานแคว้นพระองค์ บัดนี้พวกเขาได้ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งพระองค์แล้ว ขอพระองค์โปรดทรงวินิจฉัยเถิดว่าจักทรงลงโทษสถานใด! ”

ราชามัททะพอทรงสดับคำของพระชามาดา จึงตรัสว่า “ ข้าแต่จอมราชัน! พระองค์ทรงเป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ขอพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสินเถิด หากพระองค์ประสงค์เช่นไรก็ให้เป็นไปตามนั้น! ” พระเจ้ามัททะ
เพื่อจะทรงหลีกเลี่ยงมิให้ผิดพ้องหมองใจกับกษัตริย์ทั้งเจ็ด จึงโยนหน้าที่ตัดสินมาให้พระมหาสัตว์ทรงทำหน้าที่แทน ด้านพระชามาดาก็ทรงรู้เท่าทันความคิดของพระสัสสุระ จึงทรงดำริว่า “ ประโยชน์อะไรเล่าที่เราจะไปฆ่ากษัตริย์เหล่านี้ การที่พวกเขายกทัพมาก็ถือว่าเป็นคุณกับเรา เพราะทำให้น้องประภาวดีหันกลับมารักเรา ฉะนั้นการมาของพวกเขาก็จงอย่าได้เปล่าประโยชน์เลย จำเราจักยกพระภคินีของน้องประภาวดีที่มีอยู่ถึง ๗ นาง ให้เป็นรางวัลแก่พวกเขาก็แล้วกัน! ” เมื่อทรงดำริดังนั้นจึงตรัสว่า

“ ดูก่อนท่านทั้งเจ็ด ในเมื่อองค์เหนือหัวมัททะทรงมอบหมายให้เราเป็นผู้ตัดสินความผิดพวกท่าน ฉะนั้นเราจักขอตัดสินพวกท่านดังนี้ เนื่องจากพระราชาแคว้นมัททะทรงมีพระราชธิดาซึ่งทรงพระรูปโฉมอยู่ถึง ๗ นาง แลแต่ละนางก็ยังไม่ทรงมีคู่หมั่นหมาย การมาของพวกท่านเบื้องแรกถือเป็นโทษ แต่บัดนี้ถือว่าเป็นคุณ เพราะแคว้นมัททะและแคว้นพวกท่านจักได้สร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน พระราชาธิบดีมัททราชทรงมีพระประสงค์จักทรงขอเป็นทองแผ่นเดียวกับพวกท่านโดยจักทรงยกพระธิดาทั้ง ๗ ให้เป็นมเหสีงพวกท่าน ไม่ทราบพวกท่านมีความเห็นเช่นไร? ”

กษัตริย์ทั้งเจ็ดคราแรกต่างก็พากันหมดอาลัยตายอยากแล้ว คิดว่าพวกตนคงมิมีโอกาสอยู่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้แน่ แต่พอฟังคำตัดสินของพระมหาสัตว์ก็เหมือนหนึ่งว่ามัจฉาที่ถูกจับขึ้นบก แล้วจู่ๆก็ถูกจับโยนลงไปในน้ำใหม่อีกครั้ง มันช่างเป็นเรื่องที่ยากจักเชื่อจริงๆ! ต่างพากันถวายบังคมขอบพระทัยพระมหาสัตว์กันเป็นการใหญ่

หลังจากทรงจัดการเรื่องราวต่างๆในแคว้นมัททะเสร็จสิ้น ถัดจากนั้นไม่กี่วันพระมหาสัตว์ก็ทรงขอพระราช อนุญาตราชามัททะพาพระชายาประภาวดีเสด็จกลับแคว้นมัลละ

ขณะที่ทั้งสองประทับนั่งในราชรถพระฉวีวรรณและพระรูปโฉมของจอมกษัตริย์ที่ทรงเปลี่ยนไป ทำให้พระองค์ทรงดูงามสง่าทัดเทียมกันกับพระชายาจนแทบจักกล่าวได้ว่ามิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันและกันเลย

ด้านมเหสีสีลวดีพอทรงทราบข่าวการเสด็จกลับของราชบุตรพระนางก็ทรงให้ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับสั่งให้ทหารออกไปป่าวประกาศถึงข่าวมงคลนี้ให้กับประชาชนทั้งหลายได้รับทราบโดยทั่วกัน พร้อมกันนั้นก็ทรงให้ชาวเมืองประดับประดาบ้านเรือนตนให้เป็นที่สวยงาม จากนั้นจึงทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ทหารนำเครื่องบรรณาการเป็นจำนวนมากตามเสด็จพระนางแลพระชยัมบดี ออกไปต้อนรับพระมหาสัตว์ถึงยังนอกพระนคร

เมื่อขบวนเสด็จผ่านกำแพงเมืองเข้ามาพระมหาสัตว์ได้ทรงสั่งให้กระทำประทักษิณพระนคร จากนั้นตรัสให้มีการเฉลิมฉลองการละเล่นมหรสพสมโภชเป็นเวลา ๗วัน ๗ คืนในกาลนั้นพระเจ้ากุสราชและพระนางประภาวดีต่างก็ทรงสมัครสมานสามัคคีรักใคร่กัน ทรงช่วยกันปกครองพระราชอาณาจักรกรุงกุสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองสืบมา ตลอดพระชนมายุของทั้ง ๒ พระองค์…

ครั้นพระศาสดาตรัสชาดกเรื่องนี้จบภิกษุผู้เบื่อหน่ายในธรรมก็บรรลุโสดาปัตติผล กลายเป็นพระอริยบุคคลในสายของวันนั้นเอง.

หมายเหตุ :

พระเจ้าโอกกากราชในกาลนั้น ก็คือ พระเจ้าสุทโทธนะ
พระมเหสีสีลวดีในกาลนั้น ก็คือ พระนางศิริมหามายา
ชยัมบดีราชกุมารในกาลนั้น ก็คือ พระอานนท์
นางค่อมในกาลนั้น ก็คือ นางขุชชุตตราอุบาสิกา
พระนางประภาวดี ก็คือ พระนางยโสธรามารดาของพระราหุล
พระเจ้ากุสราชในกาลนั้น ก็คือ พระบรมศาสดา
ที่มาของเรื่อง .. อรรถกถา กุสชาดก ว่าด้วยพระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี ....

ด้วยความปรารถนาดี

สืบ ธรรมไทย


: .. อรรถกถา กุสชาดก ว่าด้วยพระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี ..

 7,115 
DT013120 pt

RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย