เหตุใด พระโปฐิล ถึงบรรลุธรรม เมื่อบั้นปลาย
.....จำเรื่องราวไม่ได้จ้า....กรุณาก็อบมาโพสหน่อยนะจ๊ะ...
ท่านที่ผ่านไปมาจะได้รู้ที่ไปที่มา นะจ๊ะ....
อินทรีย์และอุปนิสัยในการบรรลุธรรมของแต่ละคนแก่กล้าไม่เท่าเทียมสม่ำเสมอกันครับ
บุคคลใดสั่งสมอินทรีย์สร้างบุญบารมีไว้มากแต่ปางก่อนเป็นเวลานานย่อมมีความพร้อมที่จะบรรลุธรรมก่อน
แต่ถ้าสั่งสมอินทรีย์สร้างบุญบารมีไว้น้อย บุญบารมีน้อยอินทรีย์ไม่แก่กล้าก็ต้องรอเวลาการตรัสรู้ในลำดับต่อไป
เปรียบเสมือนข้าวกล้าที่เริ่มปักดำ แม้จะเร่งรีบทนุบำรุงให้น้ำให้ปุ๋ย ดูแลป้องกันโรค วัชพืช และแมลงเป็นอย่างดีสักปานใดก็ตาม ต้นกล้าที่ปักดำนั้นไม่อาจตั้งท้องออกรวงเพราะยังไม่ถึงกาลที่แก่รอบฉันใด
พระโปฐิละก็เช่นกัน อินทรีย์ของท่านยังไม่แก่กล้า ยังอ่อนยังไม่พร้อม ยังไม่ถึงกาลที่จะบรรลุธรรม แม้จะได้ฟังพระรรมเทศนาแล้วทรงจำเอาไว้มากมาย ความรู้ทั้งหลายของท่านพระโปฐิละ ไม่อาจเจริญงอกงานเป็นปัญญินทรีย์ให้ท่านพระโปฐิละได้บรรลุธรรมในฉับพลันทันทีฉันนั้น
อินทรีย์ 8 คือสัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุธรรม เพราะเป็นบาทฐานให้อินทรีย์ 3 บังเกิดขึ้นได้
ผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ
ได้แก่...
๑..อนัญญาตัญญัสสมีตินทรีย์..คือปัญญาที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4 ที่ไม่เคยรู้มาก่อนให้รู้แจ้ง ซึ่งเป็นการรู้แจ้งที่สามารถทำลายสังโยชน์ ๓ ได้หมดสิ้น ถึงซึ่งฐานะ ๑ คือโสดาปัตติมัคค
๒..อัญญินทรีย์..คือปัญญาที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4 ที่เคยรู้มาแล้วนั้น รู้แจ้งแทงตลอดละเอียดยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการรู้แจ้งแทงตลอดทำลายสังโยชน์ที่เหลือได้ตามลำดับ ถึงซึ่งฐานะ ๖ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามีมัคค สกทาคามีผล อนาคามีมัคค อนาคามีผล และอรหัตตมัคค
๓..อัญญาตาวินทรีย์..คือปัญญารู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4 ละเอียดหมดจด สิ้นสุดการตรัสรู้แล้ว ถึงซึ่งฐานะ ๑ คือ อรหัตตผล
เมื่ออินทรีย์ 8 แก่รอบแก่กล้วควรแก่การบรรลุรรมแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณ จึงทรงปรารภเหตุแสดงธรรมกระตุ้นเตือนที่เหมาะสมแก่ผู้นั้น
เมื่อพระเถระมาเข้าเฝ้าเพื่อฟังพระธรรมเทศนา จึงทรงตรัสเรียกว่า ... มาแล้วหรือใบลานเปล่า..
เมื่อพระเถระจะกลับจากฟังพระธรรมเทศนา ก็ทรงตรัสอีกว่า ...กลับแล้วหรือใบลานเปล่า...
พระเถระเป็นผู้มีปัญญาฉลาดย่อมระลึกได้ว่า ใช่จริง ๆ ปัจจุบันอารมณ์ของเราไม่ได้แตกต่างจากคฤหัสถ์เลย คฤหัสถ์มีความยินดีเราก็ยังยินดี คฤหัสถ์มีความไม่พอใจเราก็ยังมีความไม่พอใจ ไม่ได้แตกต่างจากคฤหัสถ์เลย
พระเถระจึงละมานะเข้าไปหาศิษย์ของท่านตั้งแต่พระเถระไปจนถึงสามเณรองค์ท้ายสุดเพื่อขอเรียนกัมมัฏฐานจากคำแนะนำของสามเณรผุ้บรรลุอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4
พระโปฐิละเถระได้บรรลุอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 อภิญญา 6 และวิชชา 3
พระโปฐิละเถระ เป็นพระเถระผู้สุดยอดในการแสงดงธรรมเลยครับ
เป็นพระในดวงใจของอาตามาเลยล่ะครับ เพราะพระเถระแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าคงเดิม สดับตรับฟังพระธรรมเทศนามาจากพระโอษฐ์เท่าใด พระเถระก็นำพระธรรมเทศนามาแสดงตามนั้นล้วน ๆ ไม่มีการต่อเติมเสริมแต่ง ไม่มีการใส่ความคิดเห็นของตนเองลงไปแต่ประการใด
ที่กล่าวว่าเป็นพระเถระที่สุดยอดคือขณะเป็นปุถุชน เพราะแสดงธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วมีลูกศิษย์บรรลุเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทามากถึง 30,000 องค์
นับว่าเป็นพระเถระที่สุดยอดจริง ๆ และได้รับกล่าวขวัญและบันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฎก
แต่คนส่วนมากอ่านแล้วไม่เข้าใจเจตนาว่าเพื่อเป็นตัวอย่างแก่พุทธบริษัท
ส่วนมากแล้วจะเอาประวัติของท่านมากล่าวในเชิงล้อเลียนล้อเล่น
กลายเป็นการล่วงเกินปรามาสพระอรหันต์ไปนะครับ
เราในฐานะที่เป็นบัณฑิตควรเคารพท่าน ยกย่องท่านพระเถระนะครับ.
ขออนุโมทนาในส่วนกุศลของท่านทั้งหลายผู้ถึงไตรสรณะคมณ์ทุกท่านครับ
เจริญในธรรมครับ
อภิปัญโญภิกขุ
กราบ กราบ กราบ
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ข้าพเจ้าของถึงพร้อมด้วยไตรสรณะคม
สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วนั้น
ขอพระบารมีในพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ได้โปรดงดโทษแด่
ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
กราบ กราบ กราบ
กราบนมัสการท่านอภิปัญโญภิกขุค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ซึ่งไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
กราบนมัสการท่านอภิปัญโญภิกขุเจ้าค่ะ
ขออนุญาตเสริมอรหัตตมรรค ที่พระองค์ทรงตรัสกับ พระโปฐิละ เจ้าค่ะ
พระศาสดาประทับนั่งในที่สุดประมาณ ๑๒๐ โยชน์เทียว ทอดพระเนตรดูภิกษุนั้นแล้วดำริว่า
"ภิกษุนั้นเป็นผู้มีปัญญา ดุจแผ่นดินด้วยประการใดแล, การที่เธอตั้งตนไว้ด้วยประการนั้นนั่นแล ย่อมสมควร."
แล้วทรงเปล่งพระรัศมีไป ประหนึ่งตรัสอยู่กับภิกษุนั้น
ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
โยคา เว ชายตี ภูร อโยคา ภูริสงฺขโย
เอตํ เทฺวธา ปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ
ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ.
ปัญญาเพียงดังแผ่นดินย่อมเกิด เพราะความประกอบโดยแท้
ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพียงดังแผ่นดิน เพราะความไม่ประกอบ
บัณฑิตรู้ทางสองแพร่งแห่งความเจริญและความเสื่อมนี้แล้ว
พึงตั้งตนไว้โดยอาการที่ปัญญาเพียงดังแผ่นดิน
ในกาลจบพระคาถา พระโปฐิลเถระตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว ดังนี้.
จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท มรรควรรคที่ ๒๐
เพราะ มานะทิฏฐิ ในเบื้องต้นนั้นยังละ ยังวางไม่ได้ ด้วยความเป็นอาจารย์ใหญ่แบกตำรา แบกคัมภีร์ สอนผู้อื่นให้บรรลุธรรมได้ แต่ตัวเองไม่บรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
จนได้สดับพระโอวาท จึงได้คิด ได้สติ เกิดธรรมสังเวช วางคัมภีร์ วางตำรา ปลดมานะทิฏฐิ ออกปฏิบัติธรรมด้วยสามเณร (ผู้เป็นพระอรหันต์)
ด้วยธรรมข้อที่ว่า "จอมปลวกมีรูอยู่หกช่อง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) หากจะจับเหี้ยในจอมปลวกให้ได้ ต้องปิดรูห้ารูเสีย แล้วคอยจ้องอยู่ที่รูช่องที่หก (คือใจ)" ท่านก็นำมาปฏิบัติ จนบรรลุธรรม
เราท่าน พึงดำเนินตาม จะเห็นได้ว่าตำรานั้นเป็นเพียงแนวทาง คำสั่งสอนของหลวงปู่ หลวงตา ครูบาอาจารย์ ก็เป็นเพียงแนวทางให้ก้าวเดินเท่านั้น
กิเลสของใครก็ของใคร จะเอาปัญญาตัวเองไปแก้กิเลสผู้อื่นไม่ได้หรือจะเอาปัญญาผู้อื่นมาแก้กิเลสตัวเองก็ไม่ได้ ปัญญาตัวเองต่างหากที่จะแก้กิเลสตัวเองได้ พระพุทธองค์หรือผู้อื่นก็ได้แต่บอกเท่านั้น
ขึ้นอยู่กับเรา ๆ ท่าน ๆ ลงมือประพฤติปฏิบัติแล้ว หรือต่างคนต่างยังแบกตำราอยู่
เจริญธรรม
อุบายธรรมในการแก้แก้กิเลส ในเรื่องพระโปฐิละ ท่านคิดอย่างไรบ้างครับ ขอความคิดเห็นจากทุกท่านด้วยครับ
ขอบพระคุณนะค่ะ คุณ 123... คุณนิดน้อง คุณหิ่งห้อยน้อย
คุณมิตรตัวน้อย คุณ guest
นมัสการ ท่านพระอาจารย์อภิปัญโญภิกขุคะ
นิดหน่อยขอปิดกระทู้นะค่ะ
กราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
สาธุ..สาธุ..สาธุ