อสุรกายผู้มีกรรม เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
อสุรกายผู้มีกรรม
ครั้งหนึ่งยังมีอสุรกายตนหนึ่ง เขาทนทุกข์เพราะความกระหายน้ำมาเป็นเวลาเนิ่นนานนักหนา ตลอดเวลาได้แต่เที่ยวหาน้ำไปตามที่ต่างๆ แต่จักมีสักครั้งที่ประสบพบพานก็หาไม่ จนกระทั่งคืนหนึ่งเขาสะเปะสะปะมาเจอแม่น้ำสายหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ มีความยาวจนสุดลูกหูลูกตา อารามดีใจจึงรีบวิ่งไป หวังจักดำผุดดำว่ายดื่มกินให้มันสมอยากสักที
พอถึงชายฝั่งก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม รีบกระโจนลงไปทันที แต่แทนจะได้สัมผัสกับความชุ่มเย็นของสายน้ำ ที่ไหนได้ เขากลับต้องกระโดดโหยงราวกับกุ้งเต้นก็มิปาน เนื่องจากมันไม่ได้มีความเยือกเย็นของน้ำให้รู้สึกเลย มีแต่ความเร่าร้อนราวกับว่ากำลังยืนอยู่บนกองขี้เถ้ายังไงยังงั้น แถมยังมีหมอกดินจากไหนไม่ทราบ ไหลมาคลุมพื้นที่แถบนั้นเอาไว้อีก ทำให้เขามองเห็นพื้นที่เหยียบอยู่ไม่ชัด
ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ได้? ก็เมื่อตะกี้ยังเห็นอยู่ว่าบริเวณแถบนี้มันมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านอยู่ชัดๆ แต่ทำไมพอโดดลงมาจึงกลายเป็นขี้เถ้าอันร้อนเร่าไปได้? เขาให้รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกรรมได้บันดาลให้เขาเห็นและรู้สึกไปเอง ทั้งๆที่ตนก็ยืนอยู่กลางแม่น้ำแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ถึงความชุ่มเย็นของมันเลย!
เขายังคงเดินวนค้นหาน้ำอย่างไม่ยอมย่อท้อโดยหวังว่าจะต้องเจอบ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่ว่าจักหาเท่าใดก็หาไม่เจอ จนพระอาทิตย์เริ่มฉายแสงโผล่พ้นขอบฟ้า เป็นสัญญาณบอกว่าบัดนี้ได้เข้าสู่รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่แล้ว ปรากฏ ณ ที่ไกลตาออกไปได้มีภิกษุกลุ่มหนึ่งประมาณ ๒๐ ถึง ๓๐ รูป กำลังโคจรบิณฑบาตผ่านมาตามริมฝั่งแม่น้ำสายนี้พอดี
ภิกษุเหล่านี้พอเข้ามาใกล้เห็นคนเดินบนน้ำได้ก็ให้อัศจรรย์ใจกันไปตามๆกัน ภิกษุรูปหนึ่งด้วยความอยากรู้จึงร้องถามไป “ ดูก่อนท่านผู้นี้เป็นใครหรือ ไฉนจึงเดินบนน้ำได้เล่า? ” อสุรกายซึ่งกำลังก้มหน้าเดินหาน้ำ พอได้ยินเสียงเรียกจึงหันไปมอง ครั้นเห็นที่บนตลิ่งมีพระกลุ่มหนึ่งกำลังจ้องมาที่ตน จึงตอบไปว่า
“ ข้าแต่ท่านผู้ทรงศีล ข้าพเจ้านี้เป็นอสุรกาย แหละกำลังค้นหาน้ำอยู่เจ้าข้า เมื่อคืนข้าพเจ้าผ่านมาแถวนี้เห็นแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน ด้วยความดีใจจึงรีบวิ่งมาหวังจักอาบดื่มกินให้มันสมอยากสักครา ที่ไหนได้พอโดดลงมากลับไม่เจอน้ำแม้เพียงน้อยนิด ทุกที่ทุกทิศล้วนมีแต่หมอกควันแลขี้เถ้า แถมยังร้อนเร่าราวกับถ่านเพลิงก็มิปาน ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ได้ก็มิทราบ?
แต่ข้าพเจ้าก็หาท้อไม่ ยังเชื่อว่ามันจะต้องมีน้ำอยู่แถวนี้แน่ ดังนั้นจึงพยายามค้นหาอยู่ แต่จนบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังหาไม่เจอเลยเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าช่วยบอกทีเถิดว่ามีน้ำอยู่ในที่ใดบ้าง? ข้าพเจ้าจักได้เข้าไปดื่มกินดับความกระหายที่มีอยู่อย่างมากล้นพ้นประมาณนี้เสีย! ”บรรดาภิกษุเมื่อฟังต่างก็มองกัน เนื่องจากตัวเขาเวลาก็ยืนอยู่บนแม่น้ำแท้ๆ แต่ไฉนจึงบอกว่าตนหาน้ำไม่เจอ ภิกษุรูปหนึ่งด้วยความสงสัยจึงร้องถามไป
“ ดูก่อนอสุรกาย เวลานี้ท่านก็ยืนอยู่บนแม่น้ำแล้วนี่ ไฉนยังจักถามหาน้ำอีกเล่า? ” อสุรกายพอฟังก็ให้ประหลาดใจ จึงตอบไปว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้าอย่าว่าแต่แม่น้ำเลย น้ำแม้เท่ารอยเท้าโคข้าพเจ้าก็ยังมิเห็น หากแม้นข้าพเจ้ากล่าวคำเท็จแล้วไซร้ ก็ขออย่าให้ข้าพเจ้าพ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานของอสุรกายนี้เลยเจ้าข้า! ”
ภิกษุทั้งหลายพอฟังคำอธิบายก็ให้รู้สึกสงสารอสุรกายตนนี้ขึ้นมาจับใจ จึงบอกให้เขาจงขึ้นมานอนที่บนหาดทรายนี้เถิด ประเดี๋ยวพวกตนจักช่วยกันตักน้ำมาให้เขาดื่มเอง ว่าแล้วแต่ละรูปก็กุลีกุจอนำบาตรของตนไปตักน้ำในแม่น้ำขึ้นมากันคนละบาตรสองบาตร จากนั้นก็นำมากรอกปากให้อสุรกายผู้หิวกระหายตนนี้ดื่ม
เหล่าพระคุณเจ้าต่างปีนขึ้นปีนลงระหว่างขอบตลิ่งกับชายแม่น้ำเพื่อตักน้ำมาให้อสุรกายดื่ม อยู่เป็นเวลาถึงครึ่งค่อนวัน จนพระอาทิตย์ได้โคจรมาอยู่ในแนวเกือบจักกึ่งกลางศีรษะ ด้วยความเมื่อยล้าภิกษุรูปหนึ่งจึงถามอสุรกายว่า
“ ดูก่อนอสุรกาย น้ำที่พวกอาตมาได้พากันตักมากรอกปากให้ท่านดื่ม ท่านพอจักได้ลองลิ้มชิมรสชาติจนเป็นที่พอใจแล้วหรือไม่? ” พูดจบตัวผู้ถามแลเพื่อนภิกษุ ต่างก็วางบาตรลงบนพื้น ทรุดกายลงไปนั่งหอบหายใจกันให้ครืดคราด เนื่องจากแต่ละรูปต่างก็ปีนขึ้นปีนลงระหว่างขอบตลิ่งกับชายแม่น้ำ จนแทบไม่มีรูปใดมีแรงหลง เหลือกันแล้ว
ฝ่ายอสุรกายพอเห็นสภาพของบรรดาพระคุณเจ้าเขาก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง จึงตอบไปว่า “ ข้าแต่ท่านผู้ทรงศีล น้ำที่พวกท่านกรอกปากให้ข้าพเจ้าดื่ม จักได้มีแม้เพียงสักหยดไหลเข้าปากให้ข้าพเจ้าได้ชุ่มฉ่ำลิ้นนั้น หามีไม่! ถึงพวกท่านจะพยายามเท่าใดก็คงมิเป็นผล รังแต่จะเสีย เวลาไปเปล่าๆ
บัดนี้ก็สายมากแล้ว ก่อนจะพ้นข้อกำหนดที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้ ขอพวกท่านจงพากันไปบิณฑบาตภิกขาจารตามกิจของตนเถิด จงอย่าได้สนใจข้าพเจ้าเลย ด้วยกรรมนั้นไซร้เป็นของเฉพาะตน ผู้ใดทำมาอย่างไร ก็จำต้องรับกันไปอย่างนั้น
ก่อนจากกันข้าพเจ้าขอวอนพวกท่านโปรดนำเรื่องข้าพเจ้าไปเล่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับผู้คนด้วยเถิด จงบอกเขาว่าขณะยังมีชีวิตอยู่ขอจงเร่งทำความดีให้มากเข้าไว้ ตายไปจักได้ไปเกิดในภพภูมิสูงๆ จักได้ไม่ต้องมาทนโศกาอาดูรเหมือนดั่งข้าพเจ้าที่เป็นอสุรกายนี้ ”
บรรดาภิกษุเมื่อฟังคำรำพันถึงความน้อยเนื้อต่ำใจในชาติวาสนาของอสุรกายผู้มีกรรมแล้ว ต่างก็รู้สึกสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้จะช่วยอย่างไร สุดท้ายได้แต่ทยอยจากไป ด้วยใจที่สลดหดหู่ .
จากเรื่องที่นำมาเล่าคงพอจักเห็นกันแล้ว สัตว์ในภูมิอสุรกายถึงไม่มีใครมาคอยลงโทษลงทัณฑ์เหมือนดังกับสัตว์ในภูมินรกแต่พวกเขาก็ยังต้องทนทุกข์อยู่กับผลบาปที่ตนสร้างไว้ทำไว้ย้อนมาสนองให้ผล ฉะนั้นหากผู้ใดไม่ปรารถนาจักไปเกิดเป็นสัตว์ภูมินี้ นับแต่นี้ก็ขอจงหมั่นขวนขวายสร้างสมแต่คุณงาม กระทำแต่ความดีให้มากเข้าไว้ ตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา จะได้ไม่ต้องมานั่งโศกาเหมือนดั่งอสุรกายผู้มีกรรมตนนี้
ด้วยความปรารถนาดี
สืบ ธรรมไทย