อย่างนี้ก็มีด้วย
ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีคนหนึ่งมีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล แต่เขาเป็นคนที่มีความตระหนี่เหลือเกิน ครั้งหนึ่งเขาเดินทางไปนอกบ้าน และเห็นชาวนาผู้หนึ่ง กินขนมแป้งทอด เขาเห็นแล้วเกิดความอยากมาก เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็เก็บความอยากไว้ ไม่บอกภรรยา แต่ความอยากก็ไม่ได้หมดจากใจ เขาข่มความอยากไว้ นอนกระสับกระส่าย ประมาณว่า อยากกินเหลือเกิน แต่ไม่อยากเสียเงินน่ะ ภรรยาเห็นสามีผิดปกติไปก็ถามว่า พี่เป็นอะไรหรือ เขาก็เลยบอกภรรยาว่า พี่อยากกินขนมแป้งทอดจังเลยน่ะน้อง ภรรยาเขาก็บอกว่า ดีสิพี่ เดี๋ยวเราก็ทอดขนมเลี้ยงคนในหมู่บ้านนี้กันดีกว่า เขาก็เสียงเขียวใส่ภรรยา ไม่ได้หรอก ภรรยาเขาก็บอกว่า งั้นเราก็ทอดเลี้ยงคนในบ้านเราก็ได้ เขาก็บอกว่า ไม่ได้ ไม่ได้ ภรรยาเขาก็เลยบอกว่า งั้นทอดเลี้ยงพี่และน้อง ให้เราสองคนก็พอนะจ๊ะพี่ เขาก็บอกว่า แล้วเธอมาเกี่ยวอะไรด้วย ทอดให้ฉันกินคนเดียวก็พอ
ภรรยาเขาก็เป็นภรรยาที่ดีมาก ก็บอกว่าได้จ้ะ เขาก็บอกภรรยาว่า เธอไปเตรียมเตา เตรียมกะทะ เตรียมวัตถุดิบให้ดีนะ แล้วก็ขนขึ้นไปที่ชั้นเจ็ดของปราสาท เวลาทอดก็ปิดประตู อย่าให้ใครรู้ว่าเราทำอะไร โอ ถึงขนาดนี้เลยนะ ภรรยาก็รับคำแล้วก็จัดขนของขึ้นไป ติดเตาที่ชั้นเจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุดของปราสาท แล้วก็ใส่น้ำมันในกะทะ นำแป้งใส่ ทอดขนม
ขณะนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงหยั่งพระญาณรู้ถึงความเป็นไปของสามีภรรยาคู่นี้ จึงตรัสให้พระโมคคัลลานะไปโปรดสามีภรรยาคู่นี้ ให้เกิดดวงตาเห็นธรรม
พระโมคคัลลานะได้เสด็จเหาะไปอยู่ที่หน้าต่างที่เศรษฐีกำลังทอดขนม และอุ้มบาตรยืนนิ่งอยู่ เศรษฐีผู้เป็นสามีพยายามไม่มองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่พระเถระก็ไม่ยอมเสด็จไปไหน สามีจึงทนรำคาญไม่ได้ บอกให้ภรรยา นำขนมชิ้นเล็กๆใส่บาตรหนึ่งชิ้น
พระเถระได้เนรมิตรให้ขนมชิ้นเล็กๆนั้น ขยายใหญ่จนเต็มกะทะ จะตัดอย่างไรก็ตัดไม่ได้ ทั้งสองก็ช่วยกันดึงขนม ก็ดึงไม่ออก เศรษฐีสามีจึงบอกพระเถระว่า อยากใส่บาตรแต่ใส่ไม่ได้แล้ว พระโมคคัลลานะจึงบอกว่า เดี๋ยวจะพาไปทำบุญกับพระภิกษุจำนวนมากๆ ไปด้วยกันเถอะ แล้วก็พาเศรษฐีทั้งคู่เหาะไปที่วัดเชตวันด้วยฤทธิ์
เมื่อไปถึง พระพุทธองค์ได้แสดงธรรมเรื่องทาน โปรดแก่สามีภรรยาทั้งคู่ จนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน และเกิดความเข้าใจในเรื่องการทำบุญทำทาน ได้ปาวารณาตัว นำอาหารมาถวายแด่พระสงฆ์ ๕๐๐รูปทุกวัน นับจากนั้นเป็นต้นมา