ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริงในโลกที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจังและจะดับสลายไปในไม่ช้า


เมื่อลูกน้อยถึงแก่ความตาย นางกีสาโคตมีก็ทุกข์เทวษจนมีสติฟั่นเฟือน นางไม่อาจยอมรับความจริงได้ จึงอุ้มศพลูกไว้แนบอก เที่ยวเดินเสาะหาหมอรักษาลูก ไม่ว่าใครจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร นางก็ไม่รับฟัง

ในที่สุด นางกีสาโคตมีก็ไปกราบทูลอ้อนวอนพระพุทธองค์ขอให้ทรงช่วย เมื่อทรงเห็นสภาพจิตใจของนางจึงไม่ได้ทรงสั่งสอนหรือปลอบโยน ทรงยื่นข้อเสนอกับนางว่า “หากเธอหาเมล็ดผักกาดจากเรือนที่ไม่มีคนตายได้ ตถาคตจักช่วยเธอ”

เมื่อได้ยินดังนั้น นางกีสาโคตมีก็มีความหวังขึ้นมาเต็มเปี่ยม คิดว่าอาจจะมียาวิเศษก็ได้ นางเร่งรีบไปเคาะประตูบ้านเรือนทุกหนทุกแห่งเพื่อตามหาเมล็ดผักกาด แต่ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ได้รับคำตอบเหมือนๆ กันว่า “เมล็ดผักกาดพอจะมี แต่บ้านนี้มีคนตายมาก่อน” นางกีสาโคตมีรู้สึกผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุด สัจธรรมที่ว่าไม่มีใครเลี่ยงความตายได้พ้นก็ค่อยๆ ซึมเข้าสู่ใจ เมื่อกลับไปเฝ้าพระพุทธองค์ ใจของนางก็พร้อมจะรับฟังธรรม ถัดมาไม่นาน นางกีสาโคตมีก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

การเจริญภาวนาสำหรับเราทั้งหลายก็เป็นดังนางกีสาโคตมีที่เคาะประตูบ้านเรือนไปเรื่อยๆ เปิดโอกาสให้สัจธรรมค่อยๆ ซึมเข้าสู่ใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริงในโลกที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจังและจะดับสลายไปในไม่ช้า ความจริงเช่นนี้หนักหนาสาหัสเกินกว่าจิตที่ขาดการฝึกฝนจะยอมรับได้ มีเพียงการเปิดรับสัจธรรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกเท่านั้นที่จะทำให้เราค่อยๆ ยอมรับและวางความหลงผิดได้

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ

3,172







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย