"เจริญเมตตาละโกรธ ไม่ผูกกรรมผูกเวร" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"เจริญเมตตาละโกรธ ไม่ผูกกรรมผูกเวร"
" .. คนมาเจริญเมตตากรุณาอยู่ทุกวันทุกคืนไป "พิจารณาดูตัวเองและพิจารณาดูคนอื่น สัตว์อื่นให้เห็นเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด" ทั้งที่เป็นบัณฑิต ทั้งที่เป็นคนพาล ท่านทั้งที่เกิดในตระกูลสูง เกิดในตระกูลตํ่า ไม่เป็นของแปลก
เมื่อพิจารณาลงไปแล้วว่า "ทุกคนเกิดมาแล้ว ความแก่ก็บีบคั้นเข้าไปร่างกายทรุดโทรมไป เหมือนกันจะเป็นคนรํ่ารวยมั่งมี จะเป็นเศรษฐี เป็นพระราชามหากษัตริย์ ก็ไม่มีอำนาจอะไร ที่จะมาปิดร่างกายนี้ที่ชำรุดทรุดโทรมได้ไม่มีเลย" ทั้งคนจน ทั้งคนรวย ทั้งคนมีเกียรติยศชื่อเสียง มีเหมือนกันหมด "เมื่ออยู่นานไป ร่างกายก็ทรุดโทรมไปโรคภัยก็เบียดเบียนไป ผลสุดท้าย หมดเวร หมดกรรมแล้ว" ก็ต้องแตกตายทำลายขันธ์ลงไป
ฉะนั้น "เมื่อเพ่งพิจารณาตัวเองออกไปถึงบุคคลอื่นและสัตว์อื่นแล้ว จึงเห็นได้ว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน" เราควร จะเห็นใจซึ่งกันและกัน ควรจะสงสารกัน ถ้าเราพอที่จะมีปัญญา ช่วยเหลือ ใครตกทุกข์ได้ยากลำบาก เราก็ช่วยไปเท่าที่จะช่วยได้ ถ้าหากใจมันน้อมลงไปอย่างนี้แล้ว "มันก็ไม่คิดที่จะเบียดเบียนใครแล้ว ไม่คิดที่จะโกรธใครแล้ว" ความโกรธมันก็เบาบางลง
แต่ถ้าใครไม่ตริตรองอย่างว่านี้แล้ว "มันก็จะเป็นเหตุ ทำให้ถือเขาถือเราอย่างว่า เดี๋ยวเขาว่าให้เรา เขาถือโทษเรา" เราก็จะไม่ยอมให้เขาต่อว่าเรา จะพูด แบบนี้ มันเสียเกียรติความเป็นมนุษย์ ก็ต้องตอบโต้กันไป ก็ต้องเกิด "ความโกรธขึ้นอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ทะเลาะวิวาทกันไป ผูกกรรม ผูกเวรกันไป"
กรรมเวรก็หน่วงเหนี่ยวกันไป "ไปเจอกันที่ไหน ก็เป็นอันสังหาร กันได้ที่นั้น ทำทุกข์ให้แก่กันในที่นั้นไป" เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว มันก็เบื่อกรรม เบื่อเวร "เบื่อต่อการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน อย่าเลย งด ละ เราไม่เบียดเบียนใคร" ใครจะยั่วยวนชวนกันทะเลาะ "เราก็ไม่เอาแล้ว เราอโหสิกรรมให้หมดเลย" หากว่าดำริตริตรองในใจให้ได้ อย่างนี้แล้ว "ผู้นั้นก็รักษาศีลได้เลย ก็มีคืลบริสุทธึ้ ความโกรธ ความ พยาบาท ทั้งหลายมันก็เบาบางลงไปจากจิตใจได้" .. "
"ธรรมโอวาท ๕"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ