ต้องรักษาจิตเรื่อยไป : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
เวลาที่จิตใจยังไม่ทันบรรลุโลกุตตรธรรมนี่
ยังตกอยู่ในโลกียธรรมน่ะ มันต้องรักษา ต้องควบคุมอยู่เรื่อยไป
อุปมาเหมือนอย่างเด็กที่เกิดใหม่ ที่ยังไม่รู้เดียงสา
พ่อแม่ต้องเอาใจใส่ ต้องประคบประหงม ต้องดูแล
มิฉะนั้นแล้วเด็กก็ซมซานไปตกเรือนเบาะ หรือตกน้ำ
หรือเป็นอันตรายโดยเหตุอื่นๆเพราะเด็กยังไม่รู้ผิดรู้ถูกด้วยตนเองได้
รู้ว่าควรหรือไม่ควร...ไม่รู้เลย จึงเป็นหน้าที่
ของพ่อแม่นั้นดูแลอยู่ตลอดเวลา เมื่อลูกใหญ่ รู้เดียงสาแล้ว
ก็วางใจได้บัดนี้ เขาก็รักษาตัวเองได้
อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นแหละเมื่อจิตนี้ยังอยู่ในโลกียธรรม
ธรรมดาโลกียธรรมนี่มันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งธรรม
ที่เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง นี่มันควบคู่กันไปอยู่อย่างนี้
เพราะจิตยังไม่รู้แจ้งในธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล
มันก็ไปสะสมธรรมที่เป็นอกุศลขึ้นมาในเมื่อมีเรื่องไม่ดีต่างๆ
กระทบกระทั่งเข้ามางี้นะ เช่นอย่างว่า เขามายั่วให้โกรธต่างๆเช่นนี้
ก็โกรธขึ้นมาอย่างนี้ นั่นก็แสดงว่ามันไม่รู้ว่า
ความคิดโกรธเช่นนั้นมันเป็นอกุศล เป็นไปเพื่อทุกข์เพื่อโทษ
มันไม่รู้แจ้ง เหตุนั้นมันถึงได้โกรธขึ้นมาอย่างนี้
แต่ถ้ามันรู้แจ้งแล้วอย่างนี้ มันจะไม่โกรธเลย มันจะห้ามจิตตัวเองได้
เพราะมันรู้แจ้งนี่ รู้ว่ามันไม่ควรยึดถือเรื่องอย่างนี้นะ
มันเป็นไปเพื่อทุกข์เพื่อโทษอย่างนี้นะ
มันรู้เช่นนี้แล้วมันก็ห้ามจิตได้เลย
เมื่อจิตไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์นั้นแล้ว
อารมณ์นั้นก็ดับไป จิตก็เป็นปกติอยู่เท่านั้นเองน่ะ
เรียกว่า มันสำคัญอยู่ที่การที่เรามาเห็นความสำคัญในการฝึกจิตนี่น่ะ
ยิ่งกว่าการฝึกช้างม้าวัวควาย อะไรต่ออะไรทั้งหมดเลย
นั่นแหล่ะอันกาย วาจา นี้ถ้าหากว่าฝึกจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในกุศลธรรมได้แล้ว
ความประพฤติทางกายทางวาจามันก็ดีไปสม่ำเสมอไป
เพราะว่าความประพฤติทางกายวาจามันมาจากจิต
จิตเป็นผู้บงการ ถ้าจิตเป็นศีลเป็นธรรมแล้วอย่างนี้
มันก็ประคับประคองกายวาจานี้ให้ทำดีพูดดีไป
ให้ประพฤติไปตามหลักของอริยมรรค
เช่น สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ อย่างนี้นะ