อุบายละมานะทิฏฐิ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
อยู่ร่วมกันหมู่มากนะ ข้อสำคัญน่ะต่างคนต่างสำรวมจิตใจของตนให้ดีนี้นะ
ให้เป็นปกติอยู่ อย่าให้เกิดความยินดียินร้ายกับสิ่งที่มากระทบในตา เป็นต้น
ต้องอ่านให้มันออก รูปมากระทบในตาอย่างนี้นะ ถ้าหากว่าห้ามจิตไม่ได้
เป็นรูปที่น่าเกลียดมันก็เกลียดชังไป ถ้าเป็นรูปที่น่ารักมันก็รักก็ใคร่ไป
ถ้าเป็นรูปที่ไม่น่ารักน่าชังอะไรมันก็เฉยๆไป นี่ข้อนี้สำคัญมากนะ
ดังนั้น ให้พากันมีสติเมื่อรู้ว่าตนก็ยังละกิเลสไม่หมดอย่างนี้แล้ว
ก็ต้องสำรวมจิตใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อรูปมากระทบในตานี่
ก็ต้องห้ามจิตให้มันหยุดนิ่งเสียก่อน ก่อนจะวิจารณ์รูปนั้นน่ะ
เมื่อจิตมันหยุดนิ่งแล้วมันก็จะมองเห็นรูปนั้นว่า ไม่ใช่สวย ไม่ใช่ขี้ร้าย
ไม่ใช่ว่าเป็นคนชั่วคนดีอะไร ถ้าเพ่งดูโดย "ปรมัตถธรรม" แล้ว
มันก็มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันอยู่เท่านั้น
ไอ้ส่วนจิตใจนั่นน่ะเมื่อมันยังละกิเลสไม่หมด กิเลสมันรบกวนจิตใจอย่างไร
มันก็แสดงบทบาทออกมาอย่างนั้น กายนี้เป็นแต่เพียงหุ่นเชิดของจิตใจเท่านั้นเองนะ
เพราะฉะนั้นเมื่อเราพิจารณาลงสู่ปรมัตถธรรมแล้วอย่างนี้
มันก็ไม่เกลียดชังบุคคลที่แสดงบทบาทอันไม่ดีต่อตนนั้น
มันก็ไม่เกลียดชังน่ะ เพราะมันเห็นแล้วว่า ไอ้ผู้แสดงนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล
ไม่มีตัวตนอะไร เป็นแต่เพียงกิริยาอาการของสังขาร
ที่เกิดขึ้นตามอำนาจของกิเลสในหัวใจของคนเท่านั้นเอง
แต่ถ้าคนคนนั้นน่ะเขาละกิเลสอย่างนั้นได้แล้ว
เขาก็จะไม่แสดงอาการกายวาจาออกมาอย่างนั้นเลย
นี่เราต้องอ่านดูให้ซึ้งเข้าไปอย่างนี้
เมื่อเราพิจารณาให้ลึกซึ้งเข้าไปอย่างนี้ มันก็อภัยให้กันได้เลยบาดนี่
นั่นแหละการภาวนาการพิจารณาให้หยั่งความรู้ความเห็นลงไปถึง "ปรมัตถธรรม คือ ธรรมอันยิ่ง"
ปรมัตถธรรมนี่หมายความว่า "พิจารณาถึงความจริงของสิ่งนั้นๆ" พิจารณาเห็นว่า
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา”
ต้องหยั่งปัญญาพิจารณาลงให้มันเห็นอย่างนี้ มันจึงจะถอน "อัตตานุทิฏฐิ"
ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา ออกจากจิตใจได้
ก็เมื่อตนเกิดมาเป็นรูปเป็นนามอย่างนี้แล้ว มันก็ต้องแก่เจ็บตายไป
เพราะว่าสังขารทั้งหลายมันเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนแตกดับไป
ในปรมัตถธรรมท่านไม่ว่าคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
ท่านว่าเป็น "สังขาร" คือ สภาพที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา
ทั้งที่มีวิญญาณครองก็ดี ไม่มีวิญญาณครองก็ดี
ก็มีสภาวะเป็นอย่างเดียวกันหมด เมื่อพิจารณาลงไป
ให้ถึงความจริงอย่างนี้แล้ว มันก็เกิดญาณความรู้ขึ้นมาว่า
“สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา”
เวลาที่มันยังไม่ดับนี่มันก็แปรปรวนไป ก็อย่างรูปร่างกายอันนี้แหละ
เมื่อมันยังไม่แตกไม่ดับจริงจังมันก็มีแต่ทรุดโทรมไปทุกวั๊นทุกวันไปอย่างนี้
นานปีนานเดือนไป ร่างกายนี้ก็แปรผันไป ทรุดโทรมไป อยู่อย่างนี้นะ
แล้วความจริงเป็นอย่างนี้แหละ แล้วจะมามัวเมาถือตัวถือตนว่าดีวิเศษอยู่ทำไมเล่า
การที่สำคัญว่าตนดีวิเศษนั้นเป็นมานะ เป็นกิเลสอันหนา เป็นกิเลสอันสำคัญ
ดังนั้นเราภาวนาลงไป วางจิตให้เป็นอุเบกขาลงหลังจากพิจารณา
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมีความเกิดความดับเป็นธรรมดาอย่างนั้นแล้ว
ก็วางจิตให้เป็นอุเบกขาลงไปพร้อมด้วยญาณความรู้ปรากฏอยู่ในใจนั้น
แล้วอย่างนี้น่ะ ไอ้ความมานะถือตัวถือตนมันก็ระงับลงแหละ
เมื่อวางจิตให้เป็นกลางลงไปด้วยปัญญาญาณ คือความรู้แจ้งเห็นจริง
ก่อนจะวางอุเบกขาลงไปนะ ต้องรู้แจ้งเห็นจริงตามเป็นจริงในสภาวะธาตุ สภาวะสังขาร
สิ่งที่เกิดมีขึ้นในโลกอันนี้ ทั้งมีวิญญาณครองได้แก่มนุษย์และสัตว์
ไม่มีวิญญาณครองได้แก่ต้นไม้ ใบหญ้า หิน กรวด ทราย อะไรต่ออะไรหมู่นั้นน่ะ
มันก็มีเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนแตกดับเหมือนกันหมดเลย
นั่นล่ะพิจารณาให้มันเห็นความเกิดความดับแห่งสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แล้ว
เราก็รู้แล้วไม่ใช่ของเราน่ะ ในใจนั่นรู้ชัดเลยว่าไม่ใช่ของเรา
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วมันก็วางอุเบกขาลงได้
นั่นแหละ..เป็นอุบายละมานะทิฏฐิให้เบาบางออกไปจากจิตใจ
นี่ขอให้เข้าใจกันนะ
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "สว่างมาอย่ามืดไป"