เคยทำสมาธิได้ดี ทำไมตอนนี้ทำเช่นนั้นอีกไม่ได้ - ปุจฉา/ พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา
เรือน้อย รักในหลวง ปุจฉา -
๑. เพิ่งฝึกนั่งสมาธิ โดยใช้เวลาก่อนนอน สามสิบนาที และบางครั้งเดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิ สามสิบนาที ฝึกมาได้ เดือนกว่า ทุกวัน (ยกเว้นวันที่ติดภารกิจจริงๆ) แต่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ จะนั่งทุกวันคะ มีอยู่วันนึง นั่งสมาธิ รู้สึกขนลุก เบา มีความสุข จนนาฬิกาบอกเวลาหมดเวลา สามสิบนาที แต่ดูเหมือนเพิ่งนั่งได้ห้านาที ขาก้อไม่เจ็บปวดตอนลุกจากสมาธิ เป็นความรู้สึกครั้งแรก แล้วติดใจ วันต่อมาเลยนั่งอีก พยายามจะนั่งให้ได้แบบนั้น แต่นั่งยังไงก็ไม่ได้ และนั่งมาตลอดทุกวัน แต่ก็ยังไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกแบบนั้นอีกค่ะ เป็นเพราะอะไรคะ
๒. เคยได้ฟังมาว่า การนั่งสมาธิ ดูลมหายใจ จนสามารถแยกกายออกจากจิตได้ คือ รับรู้ได้ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา จะต้องปฏิบัติมากแค่ไหนคะ ถึงจะสามารถแยกได้อย่างนั้น การนั่งสมาธิ แค่วันละสามสิบนาที เพียงพอไหมคะ
พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การที่คุณไม่มีประสบการณ์อย่างวันนั้นอีก ก็เพราะใจคุณไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน แต่คอยถวิลหาถึงความรู้สึกในวันนั้นซึ่งเป็นอดีตไปแล้ว เป็นการปฏิบัติที่เจือด้วยตัณหา มิได้ทำด้วยใจที่ปล่อยวางอย่างแท้จริง จิตใจจึงไม่โปร่งโล่ง อาตมาอยากแนะนำให้คุณปล่อยวางเหตุการณ์วันนั้นเสีย และน้อมใจมาอยู่กับปัจจุบัน ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกเป็นกลาง ไม่ไขว่คว้าหรือผลักไสสิ่งใดที่เกิดขึ้น ไม่ว่ากับกายหรือใจ
กายและจิตนั้นแยกกันอยู่แล้ว คือเป็นคนละอันกัน แต่เป็นเพราะความหลง จิตจึงไปยึดกายว่าเป็นของกู ปรุงตัวกูขึ้นมาเป็นเจ้าของกายนี้ การเพิกถอนความหลง เพื่อเห็นความจริงดังกล่าว สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือสติ สติช่วยให้เห็นกายและจิตตามความเป็นจริง คือเห็นกายว่าเป็นกาย ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เห็นจิตว่าเป็นจิต ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ สอนว่า “เห็น อย่าเข้าไปเป็น” เช่น เห็นความปวด อย่าเป็นผู้ปวด ซึ่งช่วยให้ปวดแต่กาย ใจไม่ปวด กายเป็นอะไร ใจก็ไม่ทุกข์ จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีสติ
ดังนั้นคุณจึงควรฝึกสติอยู่เนือง ๆ ซึ่งทำได้หลายวิธี จะนั่งตามลมหายใจก็ได้ เดินจงกรม หรือยกมือเคลื่อนไหวแบบหลวงพ่อเทียนก็ได้ ไม่ว่าทำวิธีไหน ขอให้มีความรู้สึกตัวขณะที่ทำ (ไม่ใช่พยายามบังคับจิต ให้หยุดคิดเพราะหวังความสงบ) หากคุณนั่งวันละ ๓๐ นาที ถ้าวางใจถูก มีสติรู้กายและใจอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าไม่นานก็จะเห็นผล หรือเข้าใจความจริงดังกล่าวได้ไม่มากก็น้อย
ที่มา : เพจ facebook.com/visalo