"เป็นอันว่า ถ้าชาวพุทธเราจะฉลาดรอบคอบในการทำกรรม ก็จะต้องทำให้ถูกทั้ง ๒ ชั้น
ชั้นที่ ๑ ตัวกรรมนั้น ต้องเป็นกรรมดี ไม่ใช่กรรมชั่ว แล้วผลดีชั้นที่ ๑ ก็เกิดขึ้นคือจิตใจของเราก็ดี ได้รับผลดีที่เป็นความสุข มีความสุขเป็นวิบากเบื้องต้น ผลดีที่ออกมา ทางวิถีชีวิตทั่วๆ
ไป เช่นความนิยมนับถือต่างๆ ก็มีดี มีเข้ามาในตัวอยู่แล้วแต่ในชั้นที่ ๒ เราจะให้การงานกิจการของเราได้ผลดีมาก ดีน้อย เราก็ต้องพิจารณาเรื่องคติ อุปธิกาล ปโยค เข้ามาประกอบด้วย ต้องพิจารณา ๒ ชั้น ไม่ใช่คิดจะทำดีก็ทำดีดุ่มๆ ไปเฉยๆอย่างไรก็ตาม คนบางคนอาจจะเอาเรื่อง คติ อุปธิ กาล ปโยค เข้ามาใช้ โดยวิธีฉวยโอกาส เช่นกาลสมบัติ ฉวยโอกาสว่า กาลสมัยนี้ คนกำลังต้องการสิ่งนี้ ฉันก็ทำสิ่งที่เขาต้องการ โดยจะดีหรือไม่ก็ช่างมันให้ได้ผลที่ต้องการก็แล้วกัน นี้เรียกว่า มุ่งแต่ผลชั้นที่ ๒ แต่ผลชั้นที่ ๑ ไม่คำนึง ก็เป็นสิ่งที่เสียหายในทางธรรม
ฉะนั้น ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ ก็จะต้องมองผลชั้นที่ ๑ ก่อน คือจะทำอะไรก็หลีกเลี่ยงกรรมชั่วและทำกรรมดีไว้ก่อน เมื่อได้พื้นฐานดีนี้แล้ว ก็คำนึงถึงชั้นที่ ๒ เป็นผลภาย นอก ซึ่งขึ้นต่อ
คติ อุปธิ กาล ปโยค ด้วย ก็จะทำให้งานของตนนั้น ได้ผลดีโดยสมบูรณ์ เป็นอันว่าการสอนเรื่องกรรมตอนนี้ มี ๒ ชั้นคือตัวกรรมที่ดีที่ชั่วเอง และองค์ประกอบเรื่อง คติ อุปธิ กาล ปโยค ถ้าเราต้องการผลภายนอกเข้ามาร่วม เราจะต้องให้ชาวพุทธรู้จักพิจารณา และมีความฉลาดในเรื่อง คติ อุปธิ กาล ปโยค ด้วย สมมติว่าคน ๒ คนทำงานอย่างเดียวกัน โดยมีคุณสมบัติเหมือนกัน ดีเหมือนกันทั้งคู่ ถ้าร่างกายคนหนึ่งดี อีกคนหนึ่งไม่ดี คนที่ร่างกายไม่ดีย่อมเสียเปรียบ ก็ต้องยอมรับว่า ตัวเองมี อุปธิวิบัติ
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ต้องแก้ไขปรับปรุงตัว ถ้าแก้ที่ร่างกายไม่ได้ ก็ต้องเพิ่มพูนคุณสมบัติที่ดี ให้ดียิ่งขึ้น เมื่อดียิ่งขึ้น คนที่ร่างกายไม่ดี แต่มีคุณสมบัติอื่นเช่นในการทำงานมีความชำนิชำนาญกว่าจนกระทั่งมาชดเชยคุณสมบัติในด้านร่างกายดีของอีกคนหนึ่งไปได้ แม้ตัวเองจะร่างกายไม่ดี เขาก็ต้องเอาเพราะเป็นคนมีความสามารถพิเศษ นี้ก็เป็นหลักที่มาช่วย
นี้คือเรื่องการให้ผลของกรรมในแง่ต่างๆ นำมาแสดงให้เป็นแง่คิด เพื่อให้เห็นว่าเรื่องกรรมนี้ต้องคิดหลายๆแง่ หลายๆด้าน แล้วเราอาจจะเห็นทางออกในการอธิบายได้ดียิ่งขึ้น มีความรอบต้องการเชื่อมโยงให้เห็นความเป็นเหตุเป็นปัจจัย เพื่อเราจะไม่ใช่พูดแต่เพียงว่ามีเหตุอันนี้ เกิดขึ้นในที่แห่งหนึ่ง ในเวลาหนึ่ง นานมาแล้ว สัก ๒๐ - ๓๐ ปี ต่อมาเกิดผลดีอันหนึ่ง แล้วเรา ก็จับมาบรรจบกัน โดยเชื่อมโยงเหตุปัจจัยไม่ได้ ซึ่งแม้จะเป็นจริง แต่ก็มีน้ำหนักน้อย ไม่ค่อยมีเหตุผลให้เห็น คนก็อาจจะไม่ค่อยเชื่อเราจึงควรพยายามศึกษา สืบสาวเหตุปัจจัยให้ละเอียดยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ชัดละเอียดออกมา ไม่ปรากฏออกมาเต็มที่ แต่มันก็พอให้เห็นทางเป็นไปได้คนสมัยนี้ก็ต้องยอมรับในเรื่องความเป็นไปได้ เพราะมันเข้าในแนวทางของเหตุปัจจัยแล้ว"
|
|