"มีปัญหาที่ท่านถามมาหลายข้อด้วยกัน ปัญหาหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องบุพเพกตวาทเป็นเรื่องที่ถามในหลักนี้ น่าจะตอบ ถามว่า ทารกที่คลอดมา บางครั้งมีโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือถือกำเนิดในครอบครัวที่ลำบาก ขาดแคลน ถ้าไม่อธิบายในแนวบุพเพกตวาทแล้ว เราควรอธิบาย อย่างไรให้เข้าใจง่าย
ในการตอบปัญหานี้ ต้องพูดให้เข้าใจกันก่อนว่า การปฏิเสธบุพเพกตวาทไม่ได้หมายความว่า เราถือว่ากรรมเก่าไม่มีผล แต่ลัทธิบุพเพกตวาท ถือว่าเป็นอะไรๆก็เพราะกรรมเก่าทั้งสิ้น
เอาตัวกรรมเก่าเป็นเกณฑ์ตัดสินโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นทำอะไรก็ไม่มีความหมาย เพราะแล้วแต่กรรมเก่า ต่อไปจะเป็นอย่างไร กรรมเก่าก็ให้เป็นไป ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ นี้คือลัทธิกรรมเก่า แต่ในทางพระพุทธศาสนา กรรมเก่านั้น ท่านก็ถือว่าเป็นกรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลมาถึงปัจจุบัน
ทีนี้มาถึงเรื่อง ที่เด็กคลอดออกมา มีโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ เกิดในครอบครัวที่ลำบากขาดแคลน นี้เราสามารถอธิบายด้วยเรื่องกรรมเก่า ตามหลักกรรมนิยมได้ด้วย และอธิบายตามหลักนิยามอื่นๆ ด้วย เช่น ในด้านพีชนิยามว่า พ่อแม่เป็นอย่างไรในส่วนกรรมพันธุ์ เพราะกรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนดได้ด้วย ถ้าพ่อแม่มีความบกพร่องในเรื่องบางอย่างเช่นเป็นโรคเบาหวาน ลูกก็มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน นี้พีชนิยามส่วนกรรมนิยาม ถ้าจะอธิบายออกมาในรูปที่ว่าความเหมาะสมของคนที่จะมาเกิด กับคนที่จะเป็นพ่อแม่ มันเหมาะกัน ในแง่กรรมก็สงเคราะห์ตรงนี้ ทำให้มาเกิดเป็นลูกของคนนี้ และมีความบกพร่องตรงนี้ โดยมีพีชนิยามเข้ามาประกอบช่วยกำหนด
สำหรับกรณีที่มาเกิดในครอบครัวที่ลำบากขาดแคลน ถ้าเราจะยกให้เป็นเรื่องกรรมเก่า ก็ตัดตอนไป ในเมื่อเขาเกิดมาแล้วในครอบครัวอย่างนี้ เราก็ตามไม่เห็น แต่ก็ต้องตัดตอน ไปว่าทำกรรมเก่าไม่ดี จึงมาเกิดในครอบครัวขาดแคลนแต่เมื่อเกิดแล้วตามกรรม ที่ถูกต้องก็ต้องคิดไปอีกว่า เพราะเหตุที่เกิดในครอบครัวขาดแคลน แสดงว่าเรามีทุนเก่าที่ดีมาน้อย ก็ยิ่งจะต้องพยายามทำกรรมดีให้มากขึ้น เพื่อจะให้ผลต่อไปข้างหน้าดี ไม่ใช่คิดว่าทำกรรมมาไม่ดีก็ต้องปล่อยแล้วแต่กรรมเก่าจะให้เป็นไป ถ้าคิดอย่างนี้ก็ไม่ถูก
แต่ในทางที่ถูก จะต้องคำนึงให้ครบทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ ในเมื่อกรรมเดิมมีมาไม่ดี ก็ยิ่งทำให้จะต้องมีกำลัง มีความเพียรพยายามแก้ไขปรับปรุงเช่นถ้าหากคนที่เขาเกิดมาร่ำรวยแล้ว
เขามีความเพียรพยายามเพียงเท่านี้ เขาก็สามารถประสบความสำเร็จก้าวหน้าได้ เราเกิดมาในตระกูลที่ขาดแคลนเราก็ต้องยิ่งมีความเพียรพยายามให้มากกว่าเขาอีกมากมาย เราจึงจะมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าได้ ต้องตั้งจิตอย่างนี้จึงจะถูกต้องในส่วนที่เป็นกรรมเก่านี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อย่างนี้ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ ชื่อว่า กรรมเก่า"
กรรมเก่าก็คือ สภาพชีวิตที่เรามีอยู่ในปัจจุบันขณะนี้ สภาพชีวิตของเราก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นอยู่ มีอยู่นี้ คือกรรมเก่า คือผลจากกรรมเท่าที่เป็นมาก่อนหน้าเวลานี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะได้ทำอะไรมา สั่งสมอะไรมา ก็รวมอยู่ที่นี้กรรรมเก่ามีเท่าไร ก็เรียกว่ามีทุนเท่านั้น จะทำงานอะไรก็ตาม จะต้องมองดูทุนในตัวก่อน เมื่อรวมทุน รู้กำลังของตัวถูกต้องแล้ว ก็เริ่ม งานต่อไปได้ ถ้าเรารู้ว่าทุนของเราน้อย แพ้เขา เราก็ต้องพิจารณาหาวิธีที่จะลงทุนให้ได้ผลดีบางคนทุนน้อย แต่มีวิธีการทำงานดี รู้จักลงทุนอย่างได้ผล กลับได้ประสบความสำเร็จดีกว่าคนที่มีทุนมากก็มี
ฉะนั้น แม้ว่ากรรมเก่าอาจจะไม่ดี คือร่างกาย ตลอดจนสภาพชีวิตทั้งหมดของเราไม่ดี แต่เราฉลาดและเข้มแข็ง ไม่ท้อถอย เราก็พยายามปรับปรุงตัว หาวิธีการที่ดีมาใช้ ถึงแม้ทุนไม่ค่อยดี มีน้อย ก็ทำให้เกิดผลดีได้ กลับบรรลุผลสำเร็จ ก้าวหน้ายิ่งกว่าคนที่ทุนดีด้วยซ้ำไป ส่วนคนที่ทุนดีนั้น หากรู้จักใช้ทุนดีของตัว ก็ยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้น บางคนทุนดี แต่ไม่รู้จักใช้ มัวเมา ประมาทเสียก็หมดทุน กลับยิ่งแย่ลงไปอีก
ดังนั้น การปฏิบัติที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่มัวท้อแท้ ท้อถอย อยู่กับทุนเก่าหรือกรรมเก่ากรรมเก่านี้ ถือเป็นทุนเดิม ซึ่งจะต้องกำหนดรู้ แล้วพยายามแก้ไข ปรับปรุงส่งเสริมเพิ่มพูนให้ดี ให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป"
|
|