อสทิสทาน มหาทานแด่สมเด็จพระพุทธองค์ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

 pt  4,839 

สมัยหนึ่ง เมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงประกาศสัจธรรมอยู่ ครานั้นผู้คนในชมพูทวีปไม่ว่าจักเป็นวรรณะสูงอย่างกษัตริย์หรือพราหมณ์ก็ดี หรือจักเป็นวรรณะต่ำอย่างแพศย์ลงไปจนถึงจัณฑาลก็ดี พวกเขาต่างก็พากันละทิ้งลัทธิของตนหันมาเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นกันเป็นจำนวนมาก ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างให้ความสำคัญกับการบริจาคทานรักษาศีล ตลอดจนเจริญสมาธิภาวนากันอย่างแพร่หลาย เพราะเชื่อว่าหนทางทั้งสามนี้คือเส้นทางเอกที่จักทำให้พวกเขาได้บุญได้กุศลเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะการถวายทานอันมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระประธานนั้น ยิ่งถือกันว่าเป็นยอดบุญทีเดียว! ดังนั้นผู้คนสมัยนั้นจึงให้ความสำคัญกับทานชนิดนี้มากที่สุด บางครั้งถึงกับแข่งกันว่าใครจักทำได้ยิ่งใหญ่กว่ากันก็มี และไม่เพียงประชาชน แม้แต่กษัตริย์ผู้ครองแว่นแคว้นต่างๆก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน

มีอยู่คราวหนึ่งหลังจากสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จจาริกไปจนเกือบทั่วชมพูทวีปแล้ว ครั้งนั้นพระองค์ได้ทรงพาเหล่าภิกษุจำนวน ๕๐๐ รูปเสด็จกลับยังนครสาวัตถี เมืองหลวงแคว้นโกศล พอเสด็จถึงก็ทรงเข้าพักยังวัดพระเชตะวันที่ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย บรรดาชาวเมืองพอทราบข่าวการเสด็จกลับของพระองค์ต่างก็ดีใจยกใหญ่ รีบเตรียมของแห้งของสดกันให้คึกคัก หวังจักใช้ประกอบอาหารนำไปถวายทานกันในเช้าวันพรุ่งนี้

แต่ความปรารถนาของพวกเขาก็ต้องมีอันให้ถูกเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากราชาปเสนทิกษัตริย์แห่งแคว้นโกศล พระองค์ก็ทรงปรารถนาจักถวายทานแด่องค์จอมปราชญ์เช่นกัน ดังนั้นพอพระศาสดาเสด็จถึงวัดยังมิทันจะทรงเข้าพักดี ท้าวเธอก็รีบเสด็จไปเข้าเฝ้าก่อนใคร เพื่อจักทรงอาราธนาจอมมุนีให้ทรงพาเหล่าภิกษุมารับบิณฑบาต ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวังในเช้าวันพรุ่งนี้

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเมื่อทรงสดับคำขออาราธนาของจอมกษัตริย์พระองค์ก็มิได้ทรงขัดข้องแต่อย่างใด จึงยังความปลาบปลื้มพระทัยให้กับจอมราชาเป็นอย่างยิ่ง หลังกลับถึงวังจอมกษัตริย์จึงทรงรับสั่งให้ราชบุรุษออกไปป่าวประกาศทั่วพระนครว่า เช้าพรุ่งนี้ใครที่ไม่มีภารกิจสำคัญ ขอให้มาชมการบำเพ็ญทานของพระองค์พร้อมกันถ้วนหน้า!

รุ่งขึ้นราชาปเสนทิก็ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการตักบาตรถวายทานแด่องค์สมเด็จพระศาสดาแลพระสงฆ์สาวก ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวัง บรรดาชาวเมืองพอเห็นการถวายทานของจอมกษัตริย์พวกเขาต่างก็ยินดีไปกับอานิสงส์ที่จักเกิดขึ้นกับพระองค์ด้วย จึงต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียงอนุโมทนาเสียจนดังลั่น ยังความปลาบปลื้มปีติของจอมราชันเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก จนยากจักบรรยาย

หลังเสร็จพิธีบรรดาผู้นำชุมชนเมื่อเห็นการถวายทานของพระราชาแล้ว พวกเขาก็อยากจักถวายทานให้มันยิ่งใหญ่เหมือนกับพระองค์บ้าง จึงปรึกษากันถึงการจะจัดงานในเช้าวันพรุ่งนี้ หลังได้ข้อสรุปก็ตั้งบุรุษผู้หนึ่งขึ้นเป็นผู้แทนปวงชนเข้าไปกราบอาราธนาองค์สมเด็จพระชินสีห์ พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกให้มารับทานของเหล่าประชาชนในเช้าวันพรุ่งนี้บ้าง พร้อมกันนั้นก็ให้เขาไปทูลอัญเชิญสมเด็จพระราชาธิบดีแลพระ มเหสีมัลลิกาให้เสด็จมาทอดพระเนตรการถวายทานของเหล่าประชาชน ณ ลานคนเมือง

เช้ารุ่งขึ้น ณ ลานอเนกประสงค์ชุมชนคนเมือง ปรากฏได้มีผู้คนจำนวนมากต่างออกมารอตักบาตรถวายทานกันให้เนืองแน่นไปหมด แต่ละคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ทักทายกันอย่างมีความสุข อาหารที่พวกเขานำมาแต่ละอย่างแต่ละชนิดนั้น ก็ล้วนมีสีสันที่สวยงาม กลิ่นหอมหวนชวนรับทานเสียนี่กระไร ไม่ว่าจักเป็นของคาวของหวาน ล้วนน่ากินไปเสียทั้งหมด จอมราชาเมื่อเสด็จมาถึงแลทรงได้เห็นความตั้งใจในการถวายทานพวกเขา พระองค์ก็ทรงรู้สึกปลาบปลื้มพระทัยไปด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ทรงคำนึงขึ้นในพระทัยว่า

“ เช้านี้ชาวเมืองจัดงานได้อย่างยิ่งใหญ่นัก หากเทียบกับทานของเราเมื่อวานดูเหมือนยังจักยิ่งใหญ่กว่า ไม่ได้ การแล้ว เห็นทีเราจักต้องจัดงานถวายทานใหม่ เอาให้มันยิ่งใหญ่กว่าทานของเหล่าชาวเมืองในเช้านี้ให้ได้! ” เมื่อทรงดำริดังนี้ พอทรงกลับถึงวังจอมราชันจึงมีรับสั่งให้ทหารออกไปป่าวประกาศทั่วพระนครว่า พรุ่งนี้เช้าใครที่ไม่ธุระสำคัญ ขอให้มาชมการบำเพ็ญของทานของพระองค์กันอีกครั้ง

เช้ารุ่งขึ้นชาวเมืองที่ไม่ติดภารกิจต่างก็ทยอยกันเข้ามายังลานหน้าพระบรมมหาราชวังจนเนืองแน่นล้นหลาม เพื่อมารอชมการถวายทานของจอมราชา ครั้งนี้จอมกษัตริย์ได้ทรงจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนมาก เหล่าพสกนิกรเมื่อเห็นการถวายทานของพระองค์ต่างก็แซ่ซ้องสรรเสริญกันแทบไม่หยุดปาก โดยเฉพาะผู้นำชุมชนพวกเขายิ่งปลาบปลื้มมากกว่าผู้ใด แต่ขณะเดียวกันก็เกิดทิฐิฝ่ายกุศลตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพอเสร็จพระราชพิธีพวกเขาจึงรีบประชุมกันเพื่อหารือถึงการจะจัดงานถวายทานในเช้าวันพรุ่งนี้ขึ้นอีกครั้ง แลทานครั้งนี้จักต้องทำให้ยิ่งใหญ่กว่าทานของจอมราชาในเช้านี้อีก!

การแข่งกันถวายทานระหว่างชาวเมืองกับจอมกษัตริย์อย่างชนิดไม่มีใคยอมใครได้ถูกจัดขึ้นถึงห้าครั้งห้าคราด้วยกัน จนครั้งที่หกบรรดาชาวเมืองได้ร่วมแรงร่วมใจกันถึงที่สุด ออกเสาะหาสิ่งของต่างๆที่มีบนแผ่นดิน นำมากองรวมไว้อยู่ในทานครั้งนี้จนหมดจนสิ้น จนแทบจักกล่าวได้ว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ราชาปเสนทิพอทรงเห็นทานครั้งนี้พระองค์ก็ทรงถึงกับสีพระพักตร์เปลี่ยนไป แต่ด้วยทิฐิกษัตริย์จึงมิได้ตรัสชมเชยออกไป จนกลับถึงวังพระองค์ก็ยังมิวายที่จักทรงครุ่นคิดถึงแต่เรื่องทานของเหล่าประชาชนในเช้าที่ผ่านมาอยู่ตลอดเวลา! กระทั่งพระชายามัลลิกาเทวีทรงเห็นถึงความผิดปกติ จึงเสด็จเข้าไปถาม

“ เสด็จพี่ทรงคิดเรื่องใดอยู่หรือเพคะ? หม่อมฉันเห็นสีพระพักตร์มิสู้ดีเลย! ” จอมราชาซึ่งกำลังทรงจดจ่ออยู่กับความคิด จู่ๆพอถูกถามก็ถึงกับทรงสะดุ้งตกพระทัย หลังจากทรงตั้งพระสติได้ จึงเสตรัสไปว่า “ เปล่านี่จ๊ะน้องหญิง เพียงแต่พี่มีเรื่องนิดหน่อยให้คิดน่ะจ๊ะ ” พระมเหสีพอทรงสดับก็ทรงคลางแคลงพระทัย จึงตรัสถามไปอีก “ นิดหน่อยหรือเพคะ? แต่ไฉนหม่อมฉันเห็นเสด็จพี่ดูทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน เห็นทรงเดินไปเดินมาแล้วก็ทรงถอนพระทัยเฮือกใหญ่ อย่างนี้ยังตรัสว่าเล็กน้อยหรือเพคะ?” สมเด็จพระราชาธิบดีพอถูกซักมากเข้า ในที่สุดก็มิอาจจักทรงปิดพระชายาได้ จำต้องเผยความจริงให้นางทราบ

“ ก็ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ คือพี่กำลังหาทางว่าจักเอาชนะทานของชาวเมืองได้ยังไง น้องก็เห็นแล้วเช้าที่ผ่านมาทานที่ชาวเมืองทำนั้นมันช่างยิ่งใหญ่โอฬารนัก ข้าวของทุกอย่างบนแผ่นดินล้วนถูกพวกเขานำมากองรวมไว้อยู่ในกองทานจนหมดจนสิ้น แล้วอย่างนี้น้องจักให้พี่ชนะพวกเขาได้อย่างไร? ” องค์มเหสีพอทรงสดับพระดำรัสขัดเคืองพระทัยของพระสวามี ก็ถึงกับทรงพระสรวลขึ้นทันที

“ อพิโธ! น้องนึกว่าเรื่องใด ช่างน่าขำจริง! หม่อมฉันเพิ่งจักเคยเห็นพระราชาผู้เป็นใหญ่เหนือใคร ต้องมาทุกข์ใจกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะกลัวจักเสียหน้าให้กับเหล่าพสกนิกร มันช่างตลกสิ้นดี! ” จอมกษัตริย์พอทรงสดับคำเย้ยของพระชายาก็ให้ทรงรู้สึกขัดพระทัย จึงตรัสไปว่า

“ เอาเถอะมัลลิกา! เจ้าอาจเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายอันใด แต่กับพี่ขอบอก เรื่องนี้มันหาเล็กน้อยไม่! เพราะมันคือศักดิ์ศรีของกษตริย์ เจ้าก็ดีแต่หัวเราะเยาะ แทนที่จักช่วยกันหาทางเอาชนะชาวเมืองว่าจักทำอย่างไรดี มันช่างน่าขัดใจจริงๆ! ”

องค์เทวีพอทรงสดับคำพ้อของพระสวามีก็ยิ่งทรงรู้สึกสนุกสนานมากขึ้น แต่มิได้ทรงแสดงให้เห็นทางสีพระพักตร์ ด้วยเกรงว่าหากจอมราชาทรงเห็นเข้า เดี๋ยวจักทรงขุ่นเคืองขึ้นมาจริงๆ รีบเสตรัสไปว่า “ โถ..คนดีของน้อง อย่าทรงขุ่นพระทัยไปเลยเพคะ ไว้เป็นธุระของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันรับรองพรุ่งนี้ชาวเมืองจักต้องตะลึงกับทานของพระองค์แน่นอน หม่อมฉันสัญญา! ”

หลังจากทรงรับปากพระสวามี องค์เทวีก็รีบทูลลาจอมกษัตริย์ไปดำเนินการเรื่องการจัดงานในเช้าวันพรุ่งนี้ ทันที พระนางได้ทรงบัญชาให้มหาดเล็กไปเกณฑ์ทหารมาตกแต่งลานหน้าพระบรมมหาราชวังจนวิจิตรงดงาม ทรงรับสั่งพ่อครัวให้ไปเตรียมข้าวของอุปกรณ์ ตลอดจนของแห้งของสดที่จักใช้ประกอบอาหารใน เช้าวันพรุ่งนี้ พร้อมทั้งกำหนดจำนวนแลชนิดของอาหารที่จะทำ โดยเฉพาะวัตถุดิบที่ใช้ประกอบ ทรงให้ความพิถีพิถันเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโคเนื้อแพะ เนื้อไก่หรือเนื้อสุกร ล้วนสดใหม่ทั้งหมด เครื่องเทศเครื่องปรุงก็ต้องเป็นของนำเข้ามาจากต่างแค้วนเท่านั้น คนธรรมดาหากไม่รวยจริงก็อย่าหวังจักได้ลิ้มลอง กรรมวิธีในการปรุงก็ทรงกำชับให้ทำอย่างประณีตบรรจง ดังนั้นอาหารแต่ละอย่างที่ออกมาจึงมีสีสันที่ชวนรับประทาน รสชาติก็กลมกล่อมละมุนละม่อมลิ้น จนยากจักหาอาหารใดในแผ่นดินมาเปรียบมาเทียบได้!

เท่านั้นไม่พอ ยังทรงรับสั่งให้ควาญช้างนำช้าง ๕๐๐ เชือกมาร่วมพิธีด้วย โดยให้ช้างแต่ละเชือกใช้งวงจับฉัตรยืนอยู่หลังพระคุณเจ้าคอยบังแดดยามสายมิให้ส่องมาต้องเนื้อตัวระหว่างที่ท่านฉันภัตตาหาร สำหรับเรื่องช้างนี้มีตำนานเล่ากันว่า

ในบรรดาช้าง ๕๐๐ เชือกนั้น มีอยู่เชือกหนึ่งมันกำลังตกมันพอดี เที่ยวไล่แทงไล่ชนช้างตัวอื่นอยู่ให้วุ่น นายควาญผู้เป็นเจ้าของเห็นว่าหากเอามันเข้าร่วมพิธี อาจจักก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในงานก็เป็นได้ แต่หากไม่เอาเข้าร่วม ช้างก็จักขาดไปเชือกหนึ่ง เขาไม่รู้จักทำอย่างไรดี จึงไปแจ้งให้หัวหน้าควาญทราบ ฝ่ายหัวหน้าควาญพอรู้ก็ให้กังวลขึ้นมาทันที เพราะยังไงเสียช้างเชือกนี้ก็ต้องเข้าพิธี ไม่ยังงั้นพระคุณเจ้ารูปหนึ่งก็จักไม่มีฉัตรบังแดดเหมือนรูปอื่น แต่จักให้ไปยืนอยู่หลังพระคุณเจ้ารูปใดนี่ซิปัญหา!

คิดไปคิดมาเขาก็นึกได้เห็นทีคงต้องให้ไปยืนอยู่หลังพระคุณเจ้าองคุลีมาลเสียแล้ว ครั้นถึงวันงานช้างตกมันที่ว่าอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม พอไปยืนอยู่หลังพระคุณเจ้าองคุลีมาลเท่านั้น ปรากฏมันถึงกับขาสั่นพั่บๆเป็นเจ้าเข้า หรุบหูหรุบหางยืนหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองดูใดๆทั้งสิ้น บรรดาผู้ที่มาร่วมงานพอเห็นอากัปกิริยาของช้างเชือกนี้ต่างก็อัศจรรย์ใจกันไปตามๆกัน บางรายถึงกับเอ่ยปาก “ โอ้หนอ ตบะเดชะของพระคุณเจ้าองคุลีมาลนั้น ช่างมีอานุภาพถึงปานนี้เทียว! ”

นอกจากจักทรงเกณฑ์ช้างให้มาร่วมพิธีด้วยยังไม่พอ พระมเหสีมัลลิกายังทรงให้เกณฑ์เอาเหล่าขัตติยนารีตลอดจนนางสนมนางในให้มาคอยปรนนิบัติพระคุณเจ้าระหว่างที่นั่งฉันภัตตาหารอีก แค่ประการหลังนี่ก็เกินความสามารถของคนทั่วไปจักกระทำได้แล้ว เว้นแต่จะเป็นพระราชาด้วยกันเท่านั้น!

รุ่งขึ้นบรรดาชาวเมืองพอเห็นการบำเพ็ญทานอันแสนประหลาดแลยิ่งใหญ่ของจอมราชันเข้า พวกเขาก็ถึงกับอ้าปากตาค้าง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่อัศจรรย์ใจกันไปตามๆกัน เพราะตั้งแต่ออกมาจากครรภ์มารดาก็เพิ่งจักมีครั้งนี้นี่แลที่ได้เห็นการบำเพ็ญทานอันแสนยิ่งใหญ่แลตระการตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันยากจะเชื่อว่ามนุษย์เราจักสามารถทำทานได้อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ในใจพวกเขาต่างยอมศิโรราบให้กับพระราชาของตนจนหมดจนสิ้น แหละทานครั้งนี้นี่เอง ที่ถือเป็น อสทิสทาน ( ทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใด ในศาสนาของพระ พุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง จักปรากฏทานชนิดนี้ขึ้นเพียงครั้งเดียว ) ขององค์สมเด็จพระสมณโคดมพุทธเจ้าของพวกเรา เพราะนับจากนั้นตราบจนกระทั่งพระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพาน ก็ไม่มีทานใดจักยิ่งใหญ่เสมอกับทานของพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระนางมัลลิกาเทวีอีกเลย

กล่าวกันว่าทานครั้งนั้นราชาปเสนทิได้ทรงจ่ายพระทรัพย์ออกไปเป็นจำนวนถึง ๑๔ โกฏิทีเลยทีเดียว จึงทำให้งานมีความยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ แหละผลจากการทำอสทิสทานนี้เอง เมื่อถึงกาลที่พระมเหสีมัลลิกาเทวีละสังขาร อานิสงส์แห่งการทำอสทิสทานนี้ก็ได้นำให้พระนางไปอุบัติเป็นเทพนารีอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ได้เสวยทิพสมบัติอันแสนวิจิตรโอฬาร ครองความเป็นทิพย์ต่อไปอีกนานแสนนาน จนกว่าจักหมดสิ้นแห่งผลบุญ.

ด้วยความปรารถนาดี

สืบ ธรรมไทย
   

ที่มา : อ้างอิงจากพุทธชาดก และ โลกทีปนี เรียบเรียงโดย พระพรหมโมลี(วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย