บุญไม่ช่วย ๒  เขียนโดย  สืบ  ธรรมไทย
		
		
			
			
						
			
			
			
						
			
			
			
				บุญไม่ช่วย ๒
เก้าเดือนผ่านไป     หลังเสร็จงานศพสามีภรรยาของขอทานใจบุญนางก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับผู้เป็นญาติเหมือนเดิม  คอยช่วยเขาดูแลในเรื่องทั่วๆไป   ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงให้ผ่านวันผ่านคืนไปเท่านั้น  กระทั่งวันหนึ่งขณะที่นางกำลังตรวจตราความเป็นระเบียบของบ้าน  เวลานั้นมีบ่าวกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องพระโอรสที่เพิ่งจะประสูติจากพระครรภ์ของพระชายาองค์ฮ่องเต้เมื่อสองวันก่อน ว่าทรงมีพระอาการประหลาดผิดจากทารกทั่วไป  
ธรรมดาทารกจักร้องก็ต่อเมื่อหิว แลจะหลับก็ต่อเมื่ออิ่ม  แต่พระโอรสองค์นี้มิว่าจะหิวหรืออิ่มต่างก็ส่งเสียงร้องอยู่ตลอดเวลา  มิว่าพระชายา แม่นม หรือแม้แต่แพทย์หลวงจะประคบประหงมเพียงใด ก็หาทำให้พระองค์ทรงหยุดร้องไม่!   จนฮ่องเต้เองก็ทรงหมดพระปัญญาที่จักแก้ไข   จึงมีบัญชาให้ไปป่าวประกาศว่าหากผู้ใดสามารถทำให้พระโอรสทรงหยุดร้องได้  พระองค์จักทรงประทานรางวัลให้อย่างงาม  และไม่เพียงเท่านั้นนะ  พระสิริโฉมของพระโอรสพระองค์นี้ก็ยังทรงแปลกประหลาดอีก    คือทรงมีปานแดงราวกับโลหิตลักษณะคล้ายกับตัวอักษร เขียนว่า      “ บุญไม่ช่วย ” เกิดอยู่กลางพระนลาฏ(หน้าผาก) อีก  ช่างเป็นเรื่องที่อัศจรรย์จริงๆ!     
ภรรยาขอทานใจบุญซึ่งยืนฟังอยู่ไม่ห่าง    พอได้ยินว่าหน้าผากพระโอรสมีปานแดงดุจสีโลหิตลักษณะคล้ายอักษรเขียนว่าบุญไม่ช่วย   ก็ถึงกับตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก   เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง  รูปร่าง  ตลอดจนความหมาย  มันช่างเหมือนกับอักษรเลือดที่นางเขียนไว้บนหน้าผากสามีนางยังไงก็ยังงั้น!  ดังนั้นพอตั้งสติได้นางจึงรีบกลับเข้าห้องเก็บข้าวของอย่างลวกๆมัดใส่ห่อขึ้นสะพายบ่า  จากนั้นก็ผลุนผันออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงทันใด  อารามรีบร้อนนางลืมแม้แต่จะเข้าไปลาเจ้าบ้านเบ้านผู้เป็นญาติ!
              
หลังจากรอนแรมมาอย่างไม่หลับไม่นอน   เพียงสองวันนางก็มาถึงเมืองหลวงได้อย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์  พอมาถึงนางก็ไม่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านไป  รีบสอบถามถึงตำแหน่งที่ตั้งของพระบรมมหาราชวังจากผู้คนทันที   พอทราบก็ตรงดิ่งไปตามคำบอก   
เมื่อไปถึงนางเห็นที่ประตูวังมีทหารยามรักษาการณ์อยู่จึงหยุดดูท่าทีก่อนว่าจะทำอย่างไรถึงจะเข้าไปได้?  หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่นางก็ตัดสินใจเด็ดขาด  เดินเข้าไปด้วยกิริยาที่กล้าๆกลัวๆ  
ทหารยามครั้นเห็นมีสตรีเดินเข้ามาหาจึงร้องถามไปว่ามีกิจอันใด? ภรรยาขอทานใจบุญบอกว่านางจักมาขอเข้าเฝ้าพระโอรส  ทหารยามพอได้ยินเขาก็เข้าใจว่านางคงจักเป็นแพทย์มาขันอาสารักษาพระอาการประชวรของพระโอรส  จึงมิได้ซักถามอะไร รีบเข้าเรียนขุนนางฝ่ายในให้ทราบทันที  
จากนั้นไม่นานก็มีพระบัญชาให้เบิกตัวนางเข้าเฝ้า   เนื่องจากสองสามวันมานี้มีแพทย์มาขอรักษาพระอาการประชวรของพระโอรสกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อความสะดวกองค์ฮ่องเต้จึงทรงให้ย้ายพระอู่จากพระตำหนักในให้มาประดิษฐานยังท้องพระโรงแทน  
เมื่อมหาดเล็กพานางเข้ามาถึง  ขณะนั้นท้องพระโรงที่ทั้งกว้างแลทั้งใหญ่ล้วนกลบไปด้วยเสียงอุแว้ อุแว้ของทารก  ดังอยู่ให้ลั่นไปหมด    ท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนางตลอดจนนางสนมกำนัลทั้งหลายที่มารอดูว่าแพทย์หญิงผู้นี้จักรักษาพระอาการประชวรของพระโอรสอย่างไร? ภรรยาขอทานใจบุญก็พลันรู้สึกร่างกายสั่นท้าวขึ้นมาทันที  เนื่องจากตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจักมีครั้งนี้นี่แล  ที่นางต้องตกอยู่ภายใต้สายตาของคนเป็นจำนวนมากถึงเพียงนี้     
หลังจากพยายามระงับความตื่นเต้นลงไปได้บ้างนางก็รีบคุกเข่าถวายบังคมยังเบื้องพระพักตร์  ขณะนั้นองค์องค์ฮ่องเต้ทรงร้อนพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงตรัสให้นางรีบลุกขึ้น พร้อมกับรับสั่งให้รีบถวายการรักษาเป็นการด่วน  
ภรรยาขอทานใจบุญพอได้รับพระอนุญาตจึงหันไปทางเสียงร้องทันที    เวลานั้นนางเห็นที่ห่างไปประมาณเจ็ดแปดก้าวมีพระอู่หลังหนึ่งตั้งอยู่บนแท่นไม้สักทอง   เสียงที่ดังกลบท้องพระโรงอยู่ในเวลานี้มันก็คือเสียงร้องที่ออกมาจากพระอู่หลังนั้นนั่นเอง!  ดังนั้นจึงค่อยๆเดินเข้าไปหา 
พอถึงก็หยุดอยู่หน้าพระอู่สักพัก  จากนั้นจึงค่อยๆยื่นมือออกไปแหวกม่านมุ้งที่คลุมมิให้เหลือบยุงริ้นไรเข้าไปกัดต้องพระวรกายออก  แล้วจึงก้มหน้าพิจารณาทารกที่นอนอยู่ในพระอู่อย่างละเอียด   ภาพที่เห็นเบื้องหน้ามิได้ต่างจากทารกทั่วไปที่นางเคยเห็น คือเด็กอ่อนผู้หนึ่งกำลังส่งเสียงร้องอุแว้อุแว้ นอนกำมือถีบขาอยู่ไม่หยุดนั่นเอง    แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ก็คือปานแดงที่ปรากฏอยู่บนพระนลาฏ   เนื่องจากมันช่างเหมือนกับอักษรเลือดที่นางเขียนไว้ที่บนหน้าผากสามีนางยังไงก็ยังงั้น!    นางต้องพยายามทำใจอยู่พักใหญ่กว่าจะมิให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตได้    
หลังจากควบคุมอารมณ์ได้นางก็เริ่มคิดถึงปัญหาเฉพาะหน้า   ว่าจะรักษาพระอาการประชวรของพระโอรสอย่างไรดี?  เนื่องจากนางมิใช่แพทย์  ดังนั้นความรู้หรือความสามารถในการรักษาโรคจึงไม่ได้มีแม้แต่น้อย   ที่มาเมืองหลวงนี่ก็เพราะความอาลัยรักในสามีเป็นแรงผลักดัน   อยากจะเห็นปานแดงของพระโอรสเท่านั้น  มิได้คิดไปไกลว่าเมื่อเห็นแล้วจากนั้นจักทำอย่างไร? หรือจักต้องใช้วิธีใดรักษา? ฉะนั้นเวลานี้นางจึงไม่รู้ควรทำเช่นไร?   ยิ่งบรรดาผู้คนต่างก็เพ่งมายังนางเป็นจุดเดียว  นางก็ยิ่งประหวั่นลนลานจนทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ 
หลังจากที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่พักใหญ่   ในที่สุดนางก็ตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน   ค่อยๆยกมือขึ้นมาพนมพร้อมกับหลับตาสำรวมใจ โดยปล่อยวางเรื่องรอบกายออกไปทั้งหมด  จากนั้นนางจึงตั้งจิตอธิษฐาน “ หากแม้นผลทานที่สามีนางทำไว้มีจริงแล้วไซร้ ก็ขอให้ฝ่ามือที่นางจะลูบลงบนพระนลาฏของพระโอรสในครั้งนี้  จงทำให้พระองค์ทรงหยุดร้องด้วยเถิด   แลขอจงขจัดเสียซึ่งปานแดงที่มีอยู่นี้ให้ลบออกไปจนหมดจนสิ้นเถิด! ”       
หลังจากที่ยืนหลับตาอยู่พักใหญ่จนคนในท้องพระโรงต่างหันมามองหน้ากันว่าแพทย์หญิงนางนี้จักทำอะไร ในที่สุดนางก็ค่อยๆลืมตา พร้อมกับยื่นมือช้าๆลงไปลูบพระพักตร์ของพระโอรสด้วยอาการทะนุถนอมราวกับมารดาลูบไล้บุตร  บัดนั้นเองด้วยอำนาจแห่งแรงอธิษฐาน    เหตุการณ์อันแสนอัศจรรย์ก็พลันบังเกิดขึ้น    
ทันทีที่มือของนางสัมผัสกับพระนลาฏของพระโอรสเท่านั้น  เสียงร้องอุแว้  อุแว้  ที่ดังติดต่อกันมาเป็นเวลาสามสี่วัน  ก็มีอันให้เงียบสงบลงไปราวปลิดทิ้ง  อีกทั้งปานแดงอันแสนจะน่าเกลียดน่าชังที่ขึ้นอยู่บนพระนลาฏ  พอถูกมือของนางลูบไล้เบาๆ  ก็มีอันให้อันตรธานจางลง ๆ  ไปทีละน้อย ๆ  จนกระทั่งไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย!     
บรรดาข้าราชบริพารพอเห็นดังนั้นก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกกันไปทุกผู้ทุกนาม  แทบจักกล่าวได้ว่าท้องพระโรงเวลานั้นแม้เพียงเข็มหล่นสักเล่มก็ยังกังวานยิ่งกว่าเสียงลั่นระฆังเสียอีก    
หลังความเงียบครอบคลุมอยู่ชั่วขณะ จากนั้นทั่วทั้งห้องโถงที่ทั้งกว้างแลทั้งใหญ่ก็กึกก้องไปด้วยเสียงไชโยโห่ร้องจนสะเทือนเลื่อนลั่นปานว่าหลังคาจักถล่มลงมาเสียให้ได้เนื่องจากเหล่าขุนนางพอเห็นพระอาการประชวรของพระโอรสหายเป็นปกติ  พวกเขาต่างก็ดีใจกัน  จนเกินจักหักห้ามใจได้   พากันเปล่งเสียงไชโยออกมาเสียจนดังลั่น         
ฝ่ายองค์ฮ่องเต้และพระชายาครั้นทรงเห็นพระโอรสทรงหายเป็นปกติพระองค์ก็ทรงมีพระปีติเกษมสำราญขึ้นมาทันใด  ทรงบัญชาให้มหาดเล็กปูนบำเหน็จเป็นทองคำแท่งแก่แพทย์หญิงนางนี้ทันที  เนื่องจากทรงถือว่านางเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อพระองค์    
ด้านแพทย์หญิงครั้นได้รับพระราชทานรางวัลแทนที่จะดีใจ    ที่ไหนได้นางกลับปฏิเสธรางวัลขององค์ฮ่องเต้ไปเสียยังงั้น  เพียงแต่กราบบังคมทูลขอให้พระองค์ทรงรับนางไว้เป็นข้าราชบริพารคอยทำหน้าที่เลี้ยงดูพระโอรสให้เจริญเติบใหญ่ต่อไปภายหน้า  เท่านี้นางก็พอใจแล้ว   
องค์ฮ่องเต้เมื่อทรงทราบความประสงค์ของนาง  พระองค์ก็มิได้ทรงขัดข้องแต่อย่างใด    ทรงอนุญาตให้ตามคำขอ   ดังนั้นนับแต่นั้นภรรยาขอทานใจบุญจึงอาศัยอยู่ในพระราชวังคอยทำหน้าที่เลี้ยงดูพระโอรสซึ่งก็คือขอทานใจบุญและสามีนางในอดีตชาติ   ต่อไปอย่างมีความสุข.       
                 
จากเรื่องที่นำมาเล่า   คิดว่าคงพอทำให้หลายท่านได้แง่คิดเกี่ยวกับการให้ผลของกรรมกันบ้างไม่มากก็น้อย  และก็คงรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนเพียงไหน    อย่างขอทานใจบุญหากเทพยดาไม่ช่วยแล้วไซร้  เขาก็ต้องรอถึงอีกสามชาติกว่าจะได้มาเกิดเป็นองค์ชาย     ถึงชาติปัจจุบันเขาจะทำความดีมากมายเพียงใด  ตราบใดที่กรรมชั่วยังให้ผลอยู่ความดีหรือบุญที่ทำก็ยังไม่สามารถให้ผลได้  จนกว่ากรรมชั่วจะหมดลงไปเมื่อไรนั่นแล   กรรมดีถึงจะให้ผล!   
ฉะนั้นหวังว่าท่านที่ยังไม่ทราบจะตอบโจทย์ข้างต้นได้อย่างไรมาถึงตรงนี้แล้ว   คงพอจักมีความสามารถแล้วกระมัง?
ด้วยความปรารถนาดี
สืบ  ธรรมไทย
			
			
			
			 
				
					
					
					
					ที่มา : เรื่องเล่าจากท่านอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ วัดไตรสิกขทลามลตาราม  ตำบลแพด  อำเภอคำตากล้า  จังหวัดสกลนคร