โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
โพธิสัตว์ฉัททันต์
ครั้งทศพล ทรงสอน ผองเหล่าสัตว์
ให้สละ ตัดรอน ถอนหลงใหล
ขุดรากเหง้า เถาเหตุ กิเลสภัย
เพื่อจิตได้ คลายเขลา เข้านิพพาน
มีอยู่ครา องค์มหา มุนีตรัส
โปรดบริษัท ณ เชตวันวิหาร
หญิงนางหนึ่ง เห็นซึ้ง ถึงโทษกาม
ให้เกรงขาม ครั่นคร้ามร่วง ห้วงอบาย
จึงอำลา ฆราวาส พากเพียรจิต
ไม่ข้องติด อามิสโลก โทษเหลือหลาย
บวชเถรี หนีกาม ความวุ่นวาย
เพื่อจุดหมาย คลายหลง ปลงนิวรณ์
เช้าจดค่ำ เถรีท่าน เฝ้าย้ำจิต
หมั่นดำริ ตริธรรม คำสั่งสอน
ยืนเดินนั่ง ท่านกระทำ ตามครรลอง
หวังรื้อถอน ผองบาป ให้ขาดไป
ภิกษุณี พลีใจ ให้ธรรมหมด
ปลีกเลี่ยงหลบ ไม่คบอยู่ หมู่สหาย
เข้าฌานพิศ จิตขันธ์ สรรพางค์กาย
บ่ท้อหน่าย คลายเปลี่ยน เพียรฝึกตน
แต่มีครั้ง คราท่าน นั่งสดับ
ฟังดำรัส อรรถธรรม ท่ามกลางสงฆ์
เกิดเผลอจิต พิศมอง จ้องพุทธองค์
ช่างงามสม งามสรรพ ประจักษ์จริง
พระรูปโฉม โนมพรรณ รำไพเพริศ
จ้าบรรเจิด เลิศใคร เกินชายหญิง
พระปุริสลักษณะ ประทับจินต์
พร้อมอนุพยัญชนะสิ้น ทั่วกายา
ยามประทับ พักองค์ บนธรรมาสน์
พระฉัพพรรณรังสีอาบ วาบนักหนา
พร่างระยับ วับวาว พราวนัยน์ตา
เกินจักหา ใดเทียบ เปรียบมุนินทร์
พระสำเนียง สุรเสียง จำเรียงเพราะ
ฟังเสนาะ เกาะใจ ให้ถวิล
กังวานทุ้ม นุ่มใส ใครได้ยิน
ต่างเคลิ้มสิ้น นิ่งฟัง ดื่มด่ำใจ
จึงปรุงจิต คิดไป ในภพผ่าน
ถึงเมื่อกาล กัปปี มีบ้างไหม
เราเป็นบาทบริจา ข้าจอมไตร
ภาพหลังให้ ผุดเด่น เห็นทันที
มีอยู่ครั้ง สรรเพชญ เสด็จอุบัติ
เป็นจอมสัตว์ นามฉัททันต์ วรรณหัตถี
ครองเทือกสิงค์ หิมพานต์ นามคีรี
เปี่ยมศักดิ์ศรี กรีเจ้า เหล่าดำไร
ครั้งนั้นเรา เฝ้าคลอ นรการ
อยู่เคียงข้าง หวามจิต พิสมัย
ออกเที่ยวท่อง ล่องเขา ลำเนาไพร
โตรกโขดเขิน เนินไศล สุขใจจริง
จึงกระหยิ่ม อิ่มใจ ให้ปราโมทย์
จิตสันโดษ พลันโลดออก นอกกรอบศีล
เปล่งหัวร่อ งอหาย ชอบใจจริง
ลืมตัวสิ้น ทิ้งวัตร สมณะชี
แล้วอยู่พลัน องค์ท่าน ก็ผันเปลี่ยน
จิตวกเวียน เพียรคิด พิศโฉมศรี
อันภรรยา ทั่วหล้า บรรดามี
ยากเป็นศรี เป็นศักดิ์ ภัสดา
จึงเพ่งฌาน ควานค้น ถึงตนเล่า
ครั้งตามเฝ้า เจ้ากรี มีไหมหนา
เคยติโทษ โกรธท้าว เจ้าคชา
หรือคิดร้าย หมายฆ่า พร่าชีวัน
กาลบัดนั้น ท่านให้ วาบไหวจิต
ภาพความผิด ติดตา พาโศกศัลย์
นิมิตเด่น เห็นชัด ประจักษ์พลัน
ที่เคยพลั้ง พลาดจน ลงอบาย
ตนเคยใช้ ให้พราน ผลาญชีวิต
ด้วยทิฐิ ปิดตา พาฉิบหาย
ยิงศรพิษ ปลิดปลง องค์ดำไร
ตัดงาใหญ่ ไอยรา มาเชยชม
พอระลึก นึกย้อน อกร้อนเร่า
ยากบรรเทา ด้วยตนเขลา เศร้าขื่นขม
สุดจักขืน ฝืนใจ ไม่ระทม
น้ำรินหล่น ล้นตา หน้าจอมไตร
พุทธองค์ ทรงแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
ถึงเถรี ทีท่า น่าอับอาย
สงฆ์ต่างใคร่ ได้ฟัง คำพระองค์
จึงพนม ก้มกราบ เอ่ยปากถาม
ถึงอาการ ท่าที มีฉงน
ของเถรี นางนี้ ที่ชอบกล
ขอพระองค์ ทรงแจ้ง แถลงความ
พระโลกนาถ ปราชญ์ธรรม ยินดำรัส
ทรงตอบกลับ ตรัสไข ในคำถาม
ถึงเถรี ที่ประหลาด ยากพบพาน
เดี๋ยวสรวลสันต์ ร่ำไห้ ไม่เข้าใจ
จึงทรงยก ชาดก เป็นบทกล่าว
ถึงเรื่องราว เล่าขาน นานเหลือหลาย
ย้อนภพชาติ มากกัป หากนับไป
มีช้างใหญ่ ครองไพร ในแดนดง
เหล่าหัตถี มีกัน แปดพันเชือก
คชาเผือก ผู้เกริกใหญ่ ในไพรสณฑ์
ครองหมู่กรี มีเดชา กว่าวารณ
ทั่วไพรสณฑ์ พนมสิงค์ หิมพานต์
เหล่ามาตงค์ วนพัก ณ สระใหญ่
ท่องเพลินไพร เล่นว่าย ริมชายน้ำ
สระกว้างยาว น้ำใสขาว พราวตระการ
แต่ละด้าน ห้าสิบสองโยชน์ โอบจดกัน
กึ่งกลางน้ำ หยั่งมิด สิบสองโยชน์
ไร้โตนด โคตรเหง้า เหล่าบัวผัน
พริ้วระลอก กระฉอกซัด รับตะวัน
งามสีสัน พรรณราย ประกายแวว
ห่างขอบสระ กระจัดกระจาย รายบงกช
ดอกสีสด งดงาม อร่ามแผ้ว
เหลืองม่วงแดง แซมขาว ดูพราวแพรว
ดุจดั่งแก้ว แววเด่น เปล่งประกาย
ถัดจงกล เหล่าอุบล ปนโกมุท
สวยผ่องผุด บุษบัน ช่างเฉิดฉาย
นิลปัทม์ สัตตบุษย์ ผุดเรียงราย
แผ่ขยาย หลายหลาก ยากเอ่ยนาม
ใกล้ตลิ่ง ริมขอบ รอบบึงใหญ่
มวลสาหร่าย รายริ้ว พลิ้วในน้ำ
ไหวตามคลื่น รื่นตา น่างดงาม
แพงพวยน้ำ หนามแขยง แซมคู่กัน
สันตะวา ไส้ปลาไหล ขาไก่ด่าง
ผักเป็ดน้ำ งามแดง แกมเขียวขำ
แว่นกะออม ผมหอม บอนหลากพันธุ์
โอนเอนผัน ตามลม ชมชื่นใจ
ขึ้นจากฝั่ง พรั่งพราว ราวหนึ่งโยชน์
ป่าข้าวโพด ข้าวสาลี มีมากหลาย
ฝักเขียวนวล รวงอร่าม งามจับใจ
ต้องลมไหว ใบเสียดดัง ฟังชวนเพลิน
ถัดป่าข้าว ขาวแดง แตงฟักเขียว
เถาบิดเกลียว เกี่ยวกัน พันยุ่งเหยิง
ผลสุกดก หมกใบ ใหญ่เหลือเกิน
ไหลแดงเยิ้ม เผชิญแดด แตกเสียดาย
ติดไม้เถา ยาวไกล ไข่เน่าหว้า
กล้วยพุทรา พะวาปรู ดูหลากหลาย
จันมะซาง ลังแข แลมากมาย
เหลืองลูกหวาย รายร่วง ท่วมทับกัน
เหล่าไม้ผล ล้นเหลือ เอื้อเฟื้อสัตว์
ไม่อัตคัด ขัดใด ในไพรสัณฑ์
ท่องเที่ยวไพร ไร้ทุกข์ สุขประดัง
ดุจสวรรค์ เมืองแมน แดนหิมพานต์
เลยไม้ผล ดงไพร เขาใหญ่ลิบ
เป็นพืดติด ปิดกั้น เจ็ดชั้นขวาง
เทือกในสุด ผุดผ่อง เรืองรองงาม
เหลืองอร่าม นามสุวรรณ ปัสสคิรี
เหนือสระไป ไสวงาม ทางอีสาน
ไทรตระการ ปานภู ดูสดสี
เขียวตระหง่าน ท่ามกลางไพร ใหญ่เหลือดี
ถือเป็นที่ กรีพัก พำนักกาย
ถัดร่มไทร นิโครธใหญ่ แผ่ใบก้าน
แลสล้าง กลางแดด แผดแสงฉาย
โคนเตียนโล่ง โปร่งรื่น ชื่นสบาย
คชมากหลาย คลายร้อน นอนพักกัน
ช่วงคิมหันต์ หรรษา ฟ้าสดใส
เหล่าดำไร ท่องไพร ใจสุขสันต์
กินไม้ผล ชมไม้ดอก หยอกล้อกัน
ร้อนเล่นน้ำ สนานสุข สนุกเชียว
ตกยามเย็น เห็นรวี รี่แสงจ้า
เจ้าโขลงพา พลพรรค พักไทรเขียว
แล้วเลี่ยงหลีก ปลีกตน มาองค์เดียว
ยืนโดดเดี่ยว เหลียวดู หมู่บริวาร
เย็นพระพาย ชายเฉื่อย ระเรื่อยอ่อน
ทิพากร รอนแดง แสงผสาน
สัตตบุษย์ หลุบดอก รอบสระงาม
ฟ้ามืดค่ำ ดื่มด่ำสุข ทุกราตรี
เข้าวัสสาน พักกาญจนคูหา
เหล่าคชา หน้าทุกข์ ไม่สุขี
นอนขดเสียด เบียดถ้ำ ชอกช้ำฤดี
อยากจักลี้ หนีท่อง ล่องพฤกษ์ไพร
จนปลายฝน ต้นหนาว ฟ้าขาวจ้า
เหล่าพังคา วารณ ระทมหาย
ได้ออกถ้ำ ย่ำดง พงพฤกษ์ไพร
หน้าสดใส ไร้ทุกข์ สุขฤดี
ป่าเบญจพรรณ เต็งรัง ประชันช่อ
ขาวลออ ช่อเต็ง เปล่งรัศมี
เหลืองอร่าม ดอกรังผ่อง ต้องรวี
ต่างแข่งสี แข่งตระการ งามเคียงกัน
สิ้นเหมันต์ กลีบรัง เริ่มคล้ำแตก
แดงบานแยก แปลกตา คราลมผัน
ปลายงอนช้อย ห้อยเห็น เช่นระฆัง
หลุดขั้วคว้าง เคว้งพลิ้ว ลิ่วตามลม
เหล่าคชา หน้าบาน ถึงกาลสนุก
ไม่เจ่าจุก รุดเฝ้า เจ้าไพรสณฑ์
แจ้งดำไร ไอยรา พาพวกตน
เล่นกีฬาดอกรังหล่น หมุนลมปลิว
ท้าวคชินทร์ ยินคำ ดำรีว่า
ไม่รอรา ยาตรา นำหน้าลิ่ว
เหล่าบริวาร ตามชิด ติดเป็นทิว
แลลิบลิ่ว ริ้วขบวน ชวนเพลินมอง
ขวามหา สุภัททา สง่าสาง
ซ้ายไม่ห่าง จุลลภัททา ภรรยาสอง
บาทบริจา ชายา เจ้ากุญชร
คู่สมร สองกรินี ศรีวารณ
ดูแฉล้ม แช่มช้อย หยดย้อยยิ่ง
เกินกรินทร์ ถิ่นใด ในไพรสณฑ์
ย่างอิงแอบ แนบข้าง ไม่ห่างองค์
ช่างงามสม องค์ท้าว เจ้าพังคา
ถึงมณฑล ดงรัง อันใหญ่กว้าง
ดอกรังลาน ตาว่อน ล่องเวหา
ต้องลมหนุน หมุนติ้ว พลิ้วไปมา
ร่อนถลา พาเพลิน เจริญใจ
เหล่ามาตงค์ ดมไร ใจสุขสันต์
ใคร่ชนรัง ดันโคน ต้นโอนไหว
ดอกหลุดพวง ร่วงร่อน ว่อนพฤกษ์ไพร
แล้ววิ่งไล่ ให้สนุก สุขอุรา
โพธิสัตว์ ฉัททันต์ ครั้นแลเห็น
เหล่ากเรนทร์ นาเคศ ชายเนตรหา
จึงย่างเท้า ก้าวล้ำ ภรรยา
เดินเข้าหา พฤกษาแกร่ง เจ้าแห่งรัง
ครั้นถึงหน้า พญาไม้ รายใบตก
ราชาคช วกพักตร์ มองกลับหลัง
เหล่าพลายสาร พลางพยัก หน้ารับพลัน
เจ้าไพรสัณฑ์ ถลันพุ่ง มุ่งเข้าชน
เสียงสนั่น รังไกว ใบกิ่งร่วง
ช่อดอกพวง ควงว่อน ร่อนสับสน
ดอกหมุนติ้ว ลิ่วหา เหล่ามาตงค์
เกิดโกลาหล อึงอล ลั่นดงพลัน
หลังเสร็จฤกษ์ เปิดงาน การละเล่น
เหล่ากเรนทร์ นาเคนทร์สาง ต่างหฤหรรษ์
เที่ยวพุ่งชน ต้นไม้ รายรอบกัน
ร้องสนั่น ลั่นป่า น่าเพลินใจ
แต่คราที่ กรีท้าว เจ้าไพรสัณฑ์
พุ่งชนรัง มดแดงพลัน ระส่ำระสาย
ตกกายา ชายารอง หมองระคาย
เนื่องอยู่เหนือ ลมไพร ร่วงใส่พอดี
ส่วนเกสร ละอองไม้ กระจายพลิ้ว
ลอยละลิ่ว ปลิวลม พรมโฉมศรี
ชายาใหญ่ ให้อร่าม งามเหลือดี
เหล่าหัตถี ปรีดาร้อง กึกก้องไพร
อนุรอง มองเห็น เข่นเขี้ยวโกรธ
ลืมตัวโทษ โกรธา ไอยราใหญ่
รักเมียหลวง ห่วงหา เฝ้าอาลัย
เมียรองไม่ สนใจ ไม่ไยดี
จึงฝืนข่ม ทนเจ็บ เก็บความแค้น
ไม่แสดง แสร้งทำ หันหน้าหนี
แต่ภายใน ไฟรุม สุมฤดี
พลันสะบั้น ไมตรี ที่มีมา
ล่วงเดือนห้า ป่าแล้ง เหี่ยวแห้งหมด
ไม่สวยสด ซบเซา เหล่าพฤกษา
ต้องแดดเผา เฉาไหม้ ไร้ชีวา
เจ้าคชา พาฝูงเปลี่ยน เวียนสระงาม
บ้างหลบแดด แทรกก่าย ใต้เงากร่าง
บ้างเบิกบาน สนานชล วนเล่นน้ำ
บ้างหมอบจ้อง ภมรดอม ดอกพลองงาม
บ้างเกียจคร้าน พานซุก คลุกโคลนตม
เจ้าพลายสาร เบิกบาน สำราญว่าย
ธารน้ำไหล ใสงาม กลางไพรสณฑ์
เคียงดมไร ใหญ่รอง ทั้งสององค์
เพลินสุขสม จนควร ชวนขึ้นกัน
ยืนโขดหิน ผินมอง ผองพวกหมู่
สองโฉมตรู คู่กาย ใจสุขสันต์
เห็นบริวาร สนานสุข สนุกกัน
จึงปลีกหัน ย่างไป ใจเพลิดเพลิน
ฝ่ายสองพัง ภรรยา คชาเจ้า
ต่างคอยเฝ้า ดั่งเงาตาม ไม่ห่างเหิน
คลอแนบชิด ติดข้าง ย่างดำเนิน
ยิ่งขับเสริม เพิ่มศักดิ์ เจ้าฉัททันต์
ครานั้นมี ดำรี ที่ใจหาญ
ว่ายสระงาม ดำน้ำตรง ดงบุหงัน
โผล่ทะลึ่ง ขึ้นปะ สัตตบรรณ
บานสีสัน ประชันแข่ง แกว่งลมไกว
ดอกหนึ่งเห็น เด่นงาม หวาบหวามจิต
เจ็ดกลีบผลิ ปริบาน อร่ามไสว
เจิดจรัส ปลาบสี มีประกาย
กชทั้งหลาย กลายหมอง รองอุบล
เจ้าพลายเห็น เผ่นพุ่ง มุ่งเข้าหา
ว่ายธารา ฝ่าไป ใจสุขสม
ตั้งใจเด็ด เก็บให้ เจ้าไพรชม
ถึงเหนี่ยวโน้ม งวงถอน ประคองมา
แล้วขึ้นฝั่ง ตรงยัง ฉัททันต์เจ้า
พังคาเข้า เฝ้าหมอบ มอบบุปผา
นาเคศวร ยื่นงวงรับ ปัทมา
คชปรีดา หน้าใส ไกลจากจร
หลังรับดอก บัวบาน พลายสารเจ้า
ยกเหนือเกล้า งวงยาวชู พรูเกสร
ร่วงโปรยพรม บนตัว หัวกระพอง
เหลือดอกหอม กุญชรให้ เมียใหญ่เชย
อนุรอง มองพลาง ร้าวรานจิต
ครุ่นดำริ คิดแค้น แสร้งทำเฉย
รักเมียใหญ่ ไม่เหลือ เผื่อตนเลย
ปากไม่เผย เอ่ยไป ใจจดจำ
แล้ววันหนึ่ง บุญมาถึง ซึ่งผองสัตว์
จักได้สะสมทาน สร้างทางสวรรค์
มีหมู่สงฆ์ ธุดงค์ชัฏ พักแรมกัน
ปักกลดข้าง สระใหญ่ ใกล้นที
ท้าวฉัททันต์ ครั้นทราบ เอิบอาบจิต
หวังคติ ปิดอบาย ตายสุขี
คิดถวาย ผลไม้ ให้มุนี
จึงป่าวร้อง ชวนน้องพี่ ทำดีกัน
เหล่าพหล พลช้าง เบิกบานยิ่ง
พากันวิ่ง เข้าไพร ใจสุขสันต์
เก็บผลหมาก รากไม้ รายรอบพลัน
อึกทึก คึกลั่น สนั่นไป
ทั้งกล้วยหอม งอมเหลือ เนื้ออร่าม
อ้อยมะปราง ลางสาด มากเหลือหลาย
ทั้งเผือกมัน ฝรั่งหม่อน กองเรียงราย
แตงลูกหวาย มะไฟหวาน บานพะเนิน
ท้าวพารณ คนมะซาง ด้วยน้ำผึ้ง
เคล้านวดคลึง ซึมผิวผ่าน รสหวานเพิ่ม
แล้วกอบใส่ ใบบัว ทูนหัวเดิน
สองนางเสริม ผลาผล ขนตามไป
ฝูงดมไร ไอยรา พากันรุด
ไม่ซนซุก หลุกหลิก ผิดวิสัย
ยังพำนัก ที่พักสงฆ์ ธุดงค์ไพร
ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา
ถึงสระใหญ่ ใจพอง มองภิกษุ
เจ้าไพรหยุด ทรุดยอบ นอบเกศา
เหล่าบริวาร ผสานตาม สารราชา
ต่างก้มหน้า น้อมเศียร เตียนติดดิน
เจ้าจุลล สุภัททา ภรรยาสอง
ตั้งจิตปอง น้อมตรง องค์ทรงศีล
ขออานิสงส์ ผลทาน เป็นตามจินต์
ชีพแดดิ้น สิ้นใจ ครรไลลา
แม้นเกิดใหม่ ให้จง สมดังคิด
หลังจุติ ปิดอบาย ไกลทุกขา
เกิดในพงศ์ วงศ์มัททะ กษัตรา
มีชื่อว่า สุภัททา กัลยาณี
ครั้นเติบใหญ่ ให้รูปงาม ตระการโฉม
ใครยินยล ล้นเมตตา มารศรี
เป็นที่รัก จับใจ ไพร่ผู้ดี
เจ้ากาสี รักใคร่ ให้โปรดปราน
นับแต่นั้น พังเจ้า ไม่เฝ้าติด
ไม่ตามชิด สนิทเคล้า เจ้าช้างสาร
ไม่ดื่มกิน ไม่สุงสิง บริวาร
วันคืนผ่าน สังขารรูป ซูบซีดไป
จนวันหนึ่ง ฟ้าให้ครึ้ม ซึมผิดแปลก
วังเวงแทรก แนบเศร้า เหงาไฉน
เหมือนเป็นลาง บันดาลเหตุ แห่งเภทภัย
ผืนป่าใหญ่ เงียบเหลือใจ ไปทั่วกัน
กรินีนิ่ง สิ้นใจ ในที่สุด
ล้มหมอบทรุด ฟุบดิน สิ้นอาสัญ
ชีพสลาย ตายดับ ลับชีวัน
ไร้คู่ขวัญ ลำพังตน ในดงแดน
ร่างทับถม จมดิน สิ้นภพชาติ
ตัดไม่ขาด อาฆาตจิต คิดขุ่นแค้น
แม้นเกิดใหม่ ฉันใด ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอตามแค้น ตามอาฆาต ทุกชาติไป
ปีวันเลื่อน เคลื่อนผ่าน กาลหมุนเปลี่ยน
สุขทุกข์เรียง เวียนกลับ เกิดดับสลาย
เคยทุกข์ทน พลันพ้นทุกข์ สุขสบาย
เคยเฉิดฉาย กลับกลายพลาด ยากฝืนกรรม
สิ้นจุลล สุภัททา ภรรยาสอง
เจ้ากุญชร นองน้ำตา พาโศกศัลย์
เฝ้าคำนึง ถึงคู่ เคยอยู่กัน
ตรมชอกช้ำ เนิ่นวันผ่าน ก็สร่างไป
ณ ธานี บุรีเขต ประเทศราช
ดารดาษ หลากชน คนหลั่งไหล
สู่สรุก สุขแสน แดนอำไพ
พราหมณ์ศูทรไพร่ ไร้ทุกข์ สุขสำราญ
กิจการ ร้านค้า แน่นหนายิ่ง
ทั้งของกิน ของใช้ ให้ล้นหลาม
ทั้งภูษา อาภรณ์ มองละลาน
เครื่องจักสาน ลายครามเขิน เกินจำนรรจ์
เจ้ามัททะ กษัตรา ราชาใหญ่
ทรงเห็นใจ ผองไพร่ ได้สุขสันต์
ไม่ตึงเคร่ง เค้นส่วย เอื้ออวยกัน
ทั่วเขตขัณฑ์ ร่ำลือ ระบือไกล
ยิ่งใกล้ครบ ทศมาส คาดครรภ์คลอด
ทรงประกอบ ครอบคลุม บุญมากหลาย
ตั้งโรงทาน ประทานทรัพย์ สลับไป
ไพร่หน้าใส รื่นเริงใจ ไปทั่วกัน
ครั้นถึงฤกษ์ เบิกฟ้า ชายาประสูติ
ธิดาผุด ผ่องงาม ดังนางสวรรค์
ทั่วนคร โห่ร้อง แซ่ซ้องกัน
นามลือลั่น สุภัททา กุมารี
เมื่อเติบใหญ่ วัยสาว ราวสิบห้า
พระบิดา พาเฝ้า เจ้ากาสี
ถวายตน ปรนนิบัติ คอยพัดวี
องค์ภูมี ปรีดิ์ปลื้ม ชื่นฤทัย
ให้นั่งคู่ ภูวดล สนมเอก
ใต้เศวต ฉัตรงาม เคียงข้างไท้
มีอำนาจ มากล้น สนมใด
หมื่นหกพัน นางใน ใต้บัญชา
ซ้ำแรงคิด อธิษฐาน วายปราณจิต
ก็สัมฤทธิ์ นิมิตเห็น เด่นนักหนา
อดีตชาติ มากเศร้า ร้าวอุรา
องค์ชายา พาโกรธ โทษฉัททันต์