ทำไมพระอานนท์ อยู่กับพระพุทธองค์ทั้งวันทั้งคืน แต่ทำไม่บรรลุธรรม

 สัทธานุสารี    

เพราะเหตุใดพระอานนท์จึงไม่บรรลุธรรมในขณะที่พระพุทธองค์ยังมีพระชนมชีพอยู่ทั้งๆที่ท่านก็เป็นคนที่ฉลาดมาก สามารถจดจำ อรรถ ธรรม ได้มากมายหาที่สุดมิได้
ขอความกรุณาท่านผู้รู้กรุณาช่วยตอบคำถามนี้เพื่อพอเป็นแนวทางในการศึกษาและปฏิบัติสืบต่อไปครับ






เพราะอินทรีย์เพื่ออรหัตตมัคคอรหัตตผลยังไม่แก่กล้า
ปัญญาในพระพุทธศาสนาไม่ใช่ปัญญาในการเข้าใจอรรถเข้าใจธรรมหรือทรงจำ
แต่เป็นปัญญาในการละกิเลสสังโยชน์ให้หมดสิ้น


อาสวักขยญาณ [ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย]

ญาณลำดับที่ ๕๕.
ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ โดยอาการ ๖๔ เป็นอาสวักขยญาณ [ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย]


ผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ
ได้แก่...
๑..อนัญญาตัญญัสสมีตินทรีย์..คือปัญญาที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ เพื่อทำลายกิเลสสังโยชน์ ๓ ที่ไม่เคยรู้ไม่เคยทำลายได้มาก่อนให้รู้แจ้ง ซึ่งเป็นการรู้แจ้งที่สามารถทำลายสังโยชน์ ๓ ได้หมดสิ้น ถึงซึ่งฐานะ ๑ คือโสดาปัตติมัคค

๒..อัญญินทรีย์..คือปัญญาที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ที่เคยรู้มาแล้วนั้น รู้แจ้งแทงตลอดละเอียดยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการรู้แจ้งแทงตลอดทำลายสังโยชน์ที่เหลือได้ตามลำดับ ถึงซึ่งฐานะ ๖ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามีมัคค สกทาคามีผล อนาคามีมัคค อนาคามีผล และอรหัตตมัคค

๓..อัญญาตาวินทรีย์..คือปัญญารู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ละเอียดหมดจดคือทำลายกิเลสสังโยชน์ ๑๐ ได้หมดสิ้น สิ้นสุดการตรัสรู้แล้ว ถึงซึ่งฐานะ ๑ คือ อรหัตตผล



โดยอาการ ๖๔ ได้แก่
อินทรีย์ ๘ เจริญ ๘ รอบในพระอริยะบุคคล ๔ คู่ ๘ บุรุษ ได้ ๖๔
เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

๑..โสดาปัตติมัคค ..เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

๒..โสดาปัตติผล ..เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

๓..สกทาคามีมัคค ..เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

๔..สกทาคามีผล ..เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

๕..อนาคามีมัคค ..เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

๖..อนาคามีผล ..เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

๗..อรหัตตมัคค ..เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

๘..อรหัตตผล ..เจริญอินทรีย์ ๘ ได้แก่ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์


รวมแล้วเรียกว่าโดยอาการ ๖๔

พระอานนท์อินทรีย์ยังไม่แก่กล้าจึงยังไม่บรรลุอรหัตตผลในกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ครับ



อนุโมทนาครับท่านเหล่าซือ
ขอเสริมหน่อยครับ

การที่ใครจะบรรลุ หรือไม่บรรลุ
ไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ใกล้...ก็บรรลุน่ะคับ
ซึ่งในครั้งพุทธกาล ก็มีผู้ที่อยู่ใกล้พระพุทธเจ้ามากมาย
แม้จะไม่ได้ใกล้ชิดอย่างพระอานนท์ที่ถวายการอุปัฏฐากก็ตาม
เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ใครเพียงอยู่ใกล้ก็คงบรรลุกันหมดใช่มั้ยคับ

พระอานนท์ ท่านเป็นเอตทัคคะผู้เป็นพหูสูตร
ท่านย่อมสั่งสมปัญญาและบารมีมามาก
อย่างไรก็ตาม การที่จะบรรลุธรรมนั้น
ความพร้อมของอินทรีย์ ญาณ กาลวาระ ฯลฯ
และเหตุปัจจัยทุกอย่างต้องสมบูรณ์พร้อม
ซึ่งแต่ละบุคคลย่อมมีอัธยาศัยต่างๆ กันตามการสั่งสม
สำหรับพระอานนท์ท่านเป็นพุทธอุปัฏฐาก
เป็นอัธยาศัยที่ท่านน้อมไปที่จะอยู่ถวายการดูแลพระผู้มีพระภาคฯ
ซึ่งในขณะนั้นเหตุปัจจัยต่างๆ ที่จะบรรลุพระอรหันต์ยังไม่บริบูรณ์

***********************************************************

หนึ่งในพร 8 ประการที่พระอานนท์ทูลขอก็คือ
ถ้าพระองค์แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องใดในที่ลับหลังข้าพระองค์
ขอได้โปรดตรัสพระธรรมเทศนาเรื่องนั้นแก่ข้าพระองค์อีกครั้ง

ด้วยอัธยาศัยน้อมไปที่จะถวายการอุปัฏฐากใกล้ชิด
ส่งผลให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อมีการปฐมสังคยานา

ประวัติพระอานนท์เถระ
http://84000.org/one/1/12.html
เดฟ

ตอบปัญหาธรรมจากวัดเกาะ


เอตทัคคะในทางผู้เป็นพหูสูตร

พระอานนท์ เป็นพระราชโอรสของพระสุกโกทนะ ผู้เป็นพระกนิษฐาของพระเจ้าสุท
โธทนะ พระมารดานามว่า พระนางกีสาโคตมี มีศักดิ์เป็นพระอนุชาของพระบรมศาสดา
(พระราชโอรสของพระเจ้าอา) ออกบวชพร้อมกับเจ้าชายอนุรุทธะและอุบาลี (ศึกษาประวัติเบื้อง
ต้นในประวัติของพระอนุรุทธเถระ) เมื่อท่านบวชแล้ว ได้ฟังโอวาทจากรพปุณณมันตานี ได้
บรรลุเป็นพระโสดาบัน
ได้รับเลือกเป็นพุทธอุปัฎฐาก
ในช่วงปฐมโพธิกาลหลังจากตรัสรู้แล้ว ๒๐ พรรษานั้น ยังไม่มีพระภิกษุใดปฏิบัติรับใช้
พระพุทธองค์เป็นประจำ มีแต่พระภิกษุผลัดเปลี่ยนวาระกันปฏิบัติ เช่น พระนาคสมาละ พระนา
คิตะ พระอุปวาณะ พระสาคตะ และพระเมฆิยะ เป็นต้น บางคราวการผลัดเปลี่ยนบกพร่อง
องค์ที่ปฏิบัติอยู่ออกไป แต่องค์ใหม่ยังไม่มาแทน ทำให้พระพุทธองค์ต้องประทับอยู่ตามลำพัง
ขาดผู้ปฏิบัติ บางครั้งพระภิกษุผู้ปฏิบัติ ก็ดื้อดึงขัดรับสั่งของพระพุทธองค์ เช่น
ครั้งหนึ่ง เป็นวาระของพระนาคสมาลเถระ ท่านได้ตามเสด็จพระพุทธองค์ไปทางไกล
พอถึงทาง ๒ แพร่ง พระเถระทราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์เสด็จไปทางนี้เถิด พระเจ้าข้า”
“อย่าเลย นาคสมาละ ไปอีกทางหนึ่งจะดีกว่า”
พระนาคสมาละ ไม่ยอมเชื่อฟังพระดำรัส ขอแยกทางกับพระพุทธองค์ ทำท่าจะวาง
บาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคที่พื้นดิน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
“นาคสมาละ เธอจงส่งบาตรและจีวรมาให้ตถาคตเถิด”
พระนาคสมาละ ถวายบาตรและจีวรแด่พระพุทธองค์แล้วแยกทางเดินไปตามที่ตน
ต้องการ ไปได้ไม่ไกลนักก็ถูกพวกโจรทำร้ายจนศีรษะแตกแล้วแย่งชิงเอาบาตรและจีวรไป ทั้งที่
เลือดอาบหน้ารีบกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลเล่าเรื่องให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัส
ว่า
“อย่าเสียใจไปเลย นาคสมาละ ตถาคตห้ามเธอก็เพราะเหตุนี้”
พระพุทธองค์ ได้รับความลำบากพระวรกายเพราะถูกปล่อยให้ประทับอยู่ตามลำพัง
หลายครั้ง จึงมีพระดำรัสรับสั่งให้ภิกษุสงฆ์เลือกสรรภิกษุทำหน้าที่ปฏิบัติพระองค์เป็นประจำ
ภิกษุทั้งหลายมีฉันทามติมอบหมายให้พระอานนท์เถระรับหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐากตลอดกาลเป็น
นิตย์ ด้วยเห็นว่าท่านเป็นผู้มีสติปัญญา ขยัน อดทน รอบคอบ และเป็นพระญาติใกล้ชิด ย่อม
จะทราบพระอัธยาศัยเป็นอย่างดี


พระเถระทูลขอพร ๘ ประการ
แต่ก่อนที่พระเถระจะตอบรับทำหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐากนั้น ท่านได้กราบทูลขอพร ๘
ประการ ดังนี้:-
๑ ขออย่าประทานจีวรอันประณีตแก่ข้าพระองค์
๒ ขออย่าประทานบิณฑบาตอันประณีตแก่ข้าพระองค์
๓ ขอได้โปรดอย่าให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์
๔ ขอได้โปรดอย่าพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์
๕ ขอพระองค์จงเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ ที่ข้าพระองค์รับไว้
๖ ขอให้ข้าพระองค์พาบริษัทที่มาจากแดนไกลเข้าเฝ้าพระองค์ได้ในขณะที่มาถึงแล้ว
๗ ถ้าข้าพระองค์เกิดความสงสัยขึ้นเมื่อใดขอให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าทูลถามความสงสัยได้เมื่อนั้น
๘ ถ้าพระองค์แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องใด ในที่ลับหลังข้าพระองค์ขอได้โปรดตรัสพระ
ธรรมเทศนาเรื่องนั้น แก่ข้าพระองค์อีกครั้ง


พระพุทธองค์ตรัสถามคุณและโทษของพร ๘ ประการ
พระบรมศาสดา ได้สดับคำกราบทูลขอพรของพระอานนท์เถระแล้ว ได้ตรัสถามถึงคุณ
และโทษของพร ๘ ประการว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นคุณและโทษอย่างไร จึงขออย่างนั้น ?”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อที่ ๑-๔ ข้างต้น ก็จะมีคนพูดติฉิน
นินทา ได้ว่า พระอานนท์ ปฏิบัติบำรุงอุปัฏฐากพระบรมศาสดา จึงได้ลาภสักการะมากมายอย่าง
นี้ การปฏิบัติอุปัฏฐากมิได้หนักหนาอะไรเลย
และถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อที่ ๕-๗ ก็จะมีคนพูดได้อีกว่าพระอานนท์ จะบำรุง
อุปัฏฐากพระบรมศาสดาไปทำไม แม้กิจเพียงเท่านี้ พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงอนุเคราะห์
อนึ่ง โดยเฉพาะถ้าข้าพระองค์ไม่ได้รับพรข้อสุดท้ายแล้ว หากมีผู้มาถามข้าพระองค์ว่า
ธรรมข้อนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงที่ไหน ถ้าข้าพระองค์ไม่ทราบ เขาก็จะตำหนิได้ว่า
พระอานนท์ ติดตามพระบรมศาสดาไปทุกหนแห่ง ดุจเงาตามพระองค์ แต่เหตุไฉนจึงไม่รู้แม้แต่
เรื่องเพียงเท่านี้
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นคุณและโทษ ดังกล่าวมานี้ จึงได้กราบทูลขอพร
ทั้ง ๘ ประการนั้น พระเจ้าข้า”
พระบรมศาสดา เมื่อได้สดับคำชี้แจงของพระอานนท์แล้ว จึงประทานสาธุการ และ
พระราชทานอนุญาตให้ตามที่ขอทุกประการ ตั้งแต่นั้นมา ท่านพระเถระก็ปฏิบัติหน้าที่บำรุง
อุปัฏฐากพระพุทธองค์ตลอดมา ตราบเท่าถึงเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน


ยอมสละชีวิตแทนพระพุทธองค์
พระเถระ ได้ปฏิบัติหน้าที่อุปัฏฐากพระบรมศาสดาด้วยความอุตสาหะมิได้บกพร่อง อีก
ทั้งมีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ชีวิตของตนก็ยอมสละแทนพระพุทธองค์ได้ เช่น ในคราว
ที่พระเทวทัตยุยงให้พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยช้างนาฬาคีรี ด้วยหวังจะให้ทำอันตรายพระพุทธองค์
ขณะเสด็จออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ในขณะที่ช้างนาฬาคีรีวิ่งตรงเข้าหาพระพุทธองค์นั้น
พระอานนท์เถระผู้เปี่ยมล้นด้วยความกตัญญูและความจงรักภักดี ได้ยอมมอบกายถวายชีวิตเป็น
พุทธบูชา ได้ออกไปยืนขวางหน้าช้างไว้ หวังจะให้ทำอันตรายตนแทน แต่พระพุทธองค์ได้ทรง
แผ่พระเมตตาไปยังช้างนาฬาคีรี ด้วยอำนาจแห่งพระเมตตาบารมี ทำให้ช้างสร่างเมาหมดพยศ
ลดความดุร้ายยอมหมอบถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าสู่โรงช้าง ด้วยอาการ
อันสงบ


ได้รับยกย่องหลายตำแหน่ง
พระอานนท์เถระ ได้ปฏิบัติพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิด มิได้ประมาทพลาดพลั้ง ได้ฟัง
พระธรรมเทศนาทั้งที่ทรงแสดงแก่ตนและผู้อื่น ทั้งที่แสดงต่อหน้าและลับหลัง อีกทั้งท่านเป็นผู้
มีสติปัญญาทรงจำไว้ได้มาก จึงเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรม พระบรมศาสดาทรงยกย่องท่าน
ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งปวง ถึง ๕ ประการ คือ เป็นพหูสูต เป็นผู้มีสติ เป็นผู้
มีคติ เป็นผู้มีความเพียร และเป็นพุทธอุปัฏฐาก


ปฐมสังคายนารับหน้าที่สำคัญ
ในกาลที่พระพุทธองค์ใกล้ปรินิพพาน พระอานนท์เถระมีความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนยัง เป็นพระโสดาบันอยู่ อีกทั้งพระบรมศาสดาบรมครูก็จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานในอีกไม่ช้า จึงหลีก
ออกไปยืนร้องไห้แต่เพียงผู้เดียวข้างนอก พระพุทธองค์รับสั่งให้ภิกษุไปเรียกเธอมาแล้ว ตรัส
เตือนให้เธอคลายทุกข์โทมนัสพร้อมทั้งตรัสพยากรณ์ว่า....
“อานนท์ เธอจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในวันทำปฐมสังคายนา”
เมื่อพระบรมศาสดาปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระได้นัดประชุมพระอรหันต์
ขีณาสพ จำนวน ๕๐๐ องค์ เพื่อทำปฐมสังคายนา โดยมอบให้พระอานนท์รับหน้าที่วิสัชนาพระ
สูตรและพระอภิธรรม แต่เนื่องจากพระอานนท์ยังเป็นพระโสดาบันอยู่ ท่านจึงเร่งทำความเพียรอย่าง
หนักแต่ก็ยังไม่สำเร็จจนเกิดความอ่อนเพลีย ท่านจึงปรารภที่จะพักผ่อนอิริยาบถสักครู่ จึงเอน
กายลงบนเตียง ในขณะที่เท้าพ้นจากพื้น ศีรษะกำลังจะถึงหมอน ท่านก็สำเร็จเป็นพะอรหันต์
ในระหว่างอิริยาบถทั้ง ๔ คือ ไม่ได้อยู่ในอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่งทั้ง ๔ อย่าง คือ อิริยาบถยืน
เดิน นั่ง หรือนอน นับว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แปลกกว่าพระเถระรูปอื่น ๆ


ปรินิพพานกลางอากาศ
พระอานนท์เถระ ดำรงอายุสังขารอยู่นานถึง ๑๒๐ ปี พิจารณาเห็นว่าสมควรที่จะ
ปรินิพพานได้แล้ว ท่านจึงเชิญญาติทั้งฝ่ายศากยะและฝ่ายโกลิยะ ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ซึ่งกั้น
เขตแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ ก่อนที่จะปรินิพพาน ท่านเหาะขึ้นไปบนอากาศ
ได้แสดงธรรมสั่งสอนเทวดาและพระประยูรญาติทั้งสองฝ่าย ตลอดทั้งพุทธบริษัทอื่น ๆ เมื่อจบ
พระธรรมเทศนาแล้วท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า....
“เมื่ออาตมานิพพานแล้ว ขอให้อัฐิธาตุของอาตมานี้จงแยกออกเป็น ๒ ส่วน จงตกลงที่
ฝั่งกรุงกบิลพัสดุ์ ของพระประยูรญาติฝ่ายศากยวงศ์ ส่วนหนึ่ง และจงตกที่ฝังกรุงเทวทหะของ
พระประยูรญาติฝ่ายโกลิยวงศ์ส่วนหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้พระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะ
วิวาทกันเพราะแย่งอัฐิธาตุ”
ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ณ เบื้องบนอากาศ ในท่ามกลางแม่น้ำ
โรหิณี นั้น เตโชธาตุก็เกิดขึ้น เผาสรีระของท่านเหลือแต่กระดูกและแยกออกเป็น ๒ ส่วน แล้ว
ตกลงบนพื้นดินของ ๒ ฝั่งแม่น้ำโรหิณีนั้นสมดังที่ท่านอธิษฐานไว้ทุกประการ
ท่านได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวกที่ได้บรรลุกิเลสนิพพ


ในอดีตชาติของท่านพระอานนท์ ท่านเคยอธิษฐานขอเป็นพุทธอุปัฏฐากแก่พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต ท่านเลยได้ตามที่ท่านปรารถนา คือ ได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าตราบจนวันสุดท้าย

หากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยท่านไว้ล่วงหน้าครับ



อนุโมทนา สาธุธรรมทุกท่านเจ้าค่ะ


 4,043 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย