เข็ดจริงๆ (หนังสือกรรมลิขิต)
นายแว่นตาโตชอบดื่มสุรา เวลารับศีลจากพระจึงรับแค่ศีล ๔ ภายหลังได้กลับใจมารับศีล ๕ นายแว่นตาโตเล่าสาเหตุให้เพื่อนฟังว่า
เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมได้ไปงานขึ้นบ้านใหม่ของเพื่อน ในงานมีเหล้าเลี้ยงอย่างไม่จำกัด เย็นวันนั้นหลังจากดื่มเข้าไปพอตึงๆ หน้า ผมเดินไปหลังบ้านเพื่อหาที่ปัสสาวะ เหลือบไปดูที่รั้วสังกะสี เห็นมะม่วงของข้างบ้านเป็นพวง ๕-๖ ผล โตกำลังทำน้ำปลาหวาน ผมเห็นแล้วน้ำลายไหลอยากเก็บไปแกล้มเหล้า ความเมาทำให้ผมลืมตัว จึงหากิ่งไม้แห้งๆ มาเขี่ยผลมะม่วงให้โน้มลงมาแล้วคว้าไว้สองผล กิ่งมะม่วงก็หลุดมือ ผลมะม่วงจึงดีดออกไปกระทบรั้วสังกะสีดังปังๆ ผมสะดุ้งตกใจเพราะการถือสิทธิ์เก็บมะม่วงของข้างบ้านเป็นเรื่องไม่งามแน่
ทันใดก็มีเสียงเด็กร้องว่า แม่จ๋า มีคนมาขโมยมะม่วงข้างรั้วจ้ะ ดูซิแม่ เขาเด็ดไปสองลูกแล้ว เสียงหญิงผู้เป็นแม่ร้องบอกว่า อย่าไปว่าเขาอย่างนั้น เขาไม่ได้ขโมย แบ่งให้เขาไปกินบ้างเถิดลูก
เสียงของผู้เป็นแม่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกผิดชอบ นึกละอายใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่แล้วความเมาก็ทำให้ความรู้สึกผิดชอบหมดไป
คืนนั้นตอนดึกผมกลับถึงบ้าน ทางบ้านเข้านอนหมดแล้ว แต่ผมไม่ทุกข์ร้อนเพราะมีกุญแจสำรอง เมื่อไขประตูนอกแล้วก็เข้าไปถึงตัวบ้าน ผมหยิบกุญแจพยายามไขเข้าไปในห้องอย่างแผ่วเบาเพราะไม่อยากให้ใครตื่น แต่ไขอย่างไรก็ไม่ออก ทำให้จิตใจขุ่นมัวขึ้นมา
ทันใดนั้น แมวสามสีตัวโปรดของลูกสาวผมก็วิ่งมาเคล้าเคลียแข้งขา ร้องเมี้ยว-เมี้ยว เบียดขากางเกงถูไปถูมาอย่างประจบประแจง แต่ความเมาและความไม่อยากให้คนในบ้านตื่นทำให้ผมเกิดอารมณ์เสีย เลยไล่เบี้ยเอากับแมวตัวนั้นทันที ผมยกเท้าขึ้นเตะแมวตัวเล็กกระเด็นไปตกข้างบันไดล่าง ผมตกตะลึงว่า ทำไมเราถึงใจร้ายอย่างนี้ก็ไม่รู้ และนึกตำหนิตัวเองที่ดื่มมากเกินไป
เมื่อลองเปลี่ยนกุญแจ ผมก็ไขเข้าไปได้ ทำให้รู้ว่าหลงเอากุญแจผิดไปไขจึงไขไม่ออก ผมถอดรองเท้าและเสื้อนอกแล้วรีบเข้ามุ้ง แต่แล้วผมก็ต้องตกใจจนสะดุ้ง เพราะคนที่อยู่ในมุ้งตกใจ
กลัว รีบตะลีตะลานเปิดมุ้งออกมาร้องโวยวายให้คนช่วย และตะโกนว่า ขโมย ขโมย ช่วยด้วย ผมตกใจจนหายเมา นึกในใจว่า เดี๋ยวชาวบ้านคงแห่กันมา เราจะทำอย่างไรดี
ขณะนั้น ภรรยาผมก็วิ่งออกมาถามเสียงสั่นว่า ไหน ขโมยอยู่ไหน
เสียงน้องภรรยาตอบด้วยความตกใจกลัวว่า อยู่ในมุ้งของหนู ผมกำลังจะคลานออกจากมุ้งเพื่ออธิบาย แต่มุ้งก็ยุบลงมาคลุมตัวเสียก่อน ผมดิ้นขลุกขลักเหมือนปลาติดแห และตัวสั่นด้วยความกลัวเพราะรู้นิสัยภรรยาผมดี แกเป็นคนดุและเอาจริง ทั้งเป็นคนแข็งแรง
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีไม้ตะพดประเคนลงบนหัวผมสองทีซ้อน ผมทนไม่ไหวร้องออกมาเหมือนเสียงวัว แล้วก็ดิ้นไปดิ้นมาก็พอดีหัวโผล่ออกมานอกมุ้ง จึงรีบตะโกนว่า หยุดก่อน แม่ทูนหัว พี่เองไม่ใช่ขโมย
เมื่อได้ยินเสียงผมร้อง ภรรยาผมก็ทิ้งตะพดลง นั่งหอบเพราะความเหนื่อย แล้วพูดว่า เกือบไปแล้ว ตั้งใจจะตีให้สลบคาไม้ทีเดียว
เมื่อเหตุการณ์สงบลง ผมก็รู้ตัวว่าแว่นตาหาย ถ้าไม่มีแว่นตาผมก็มองอะไรไม่เห็น ผมจึงรีบคลำหาแว่นตา ภรรยาผมเห็นก่อน ก็เก็บไปไว้ไม่ยอมให้ผมแล้วก็บอกว่า ไม่ต้องหา แว่นตาอยู่ที่ฉันแล้ว ฉันถามอะไรคุณขอให้ตอบตรงๆ อย่าโกหกเป็นอันขาด
ผมบอกว่า จะถามอะไรก็ถาม ฉันจะตอบตามความจริงทุกอย่าง แต่ขอแว่นตาฉันคืนก่อน
ภรรยาผมตวาดด้วยความโกรธว่า ไม่ได้ ถ้าคุณตอบไม่เป็นที่พอใจฉัน แว่นตาอันนี้แตกละเอียดแน่
ผมตอบด้วยความตกใจว่า เธออย่าทำอะไรแว่นตาฉันเลย ขอทีเถิด
เสียงเธอตอบว่า เอาละ คุณฟังให้ดี แล้วตอบให้ดีนะ ทำไมคุณถึงเข้าไปในมุ้งน้องสาวฉัน ถ้าตอบไม่ตรงคำถามเกิดเรื่องแน่
ผมชักไม่พอใจจึงบอกว่า เธอถามเองตอบเองก็แล้วกัน ฉันกลัวว่าเมื่อตอบไม่ถูกใจเธอก็ต้องมีเรื่อง
เธอพูดเสียงอ่อนลงบ้างว่า คุณตอบตามความจริงก็แล้วกัน จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องที่ฉันจะพิจารณาเอง
ผมจึงบอกว่า เมื่อคืนฉันเมามากจึงเข้ามุ้งผิด ฉันจึงอยากขอโทษน้องสาวเธอด้วย แต่ไม่ทันจะขอโทษ น้องสาวเธอก็วิ่งแหกปากร้องออกมา เธอจะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของเธอ
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า เรื่องนี้ขืนพูดไปมีแต่จะขายหน้า จะจริงเท็จอย่างไร ฉันคิดว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่ฉันจะขออะไรอย่างหนึ่ง คุณจะต้องปฏิบัติตาม จะได้หรือไม่ได้ เมื่อเราผิดแล้วก็ต้องรับผิด
ผมคิดว่าเธอคงใจดีจะยกน้องสาวให้ผม เพราะผมทำให้หล่อนเสียชื่อจึงพูดว่า ฉันทำไม่ได้หรอก เพราะมีเธออยู่ทั้งคนแล้ว
เธอเสียงแข็งขึ้นมาว่า เพื่อไถ่โทษที่เข้ามุ้งผิด คุณจะปฏิเสธไม่ได้ ตกลงไหม
ผมทำเป็นขัดไม่ได้บอกเธอว่า ถ้าเธอบังคับฉันก็ต้องยอมทำตาม เพื่อไถ่โทษที่ทำให้น้องสาวเธอเสียหาย
เธอพูดว่า ดีแล้วคอยฟังนะ ฉันขอให้คุณเลิกดื่มเหล้า นับตั้งแต่วันนี้ไป จะอ้างเหตุผลใดๆ จะเป็นสังคมหรืออะไรไม่ได้ทั้งนั้น จำไว้นะ
ผมสะดุ้งเพราะผิดหวังจึงพูดเสียงค่อยๆ ว่า ตกลงจ้ะ
แต่นั้นมาผมก็เลิกดื่มเด็ดขาด
เมื่อเล่าจบ พวกเพื่อนๆ ก็พากันหัวเราะ แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็ถามนายแว่นตาโตว่า คุณว่าศีลขาดหมดไม่มีเหลือ แต่ก็ยังไม่แจ่มแจ้ง เพราะคุณยังไม่ได้ฆ่าสัตว์ ผิดเพียงไปลักมะม่วงเขา
นายแว่นตาโตหัวเราะจนตาหยี แล้วพูดว่า ผมลืมเล่าต่อว่า เมื่อตกลงกันได้แล้ว กว่าจะหลับก็เกือบสว่าง เช้าวันนั้นผมจึงตื่นสายหัว ระบมด้วยฤทธิ์ไม้ตะพด เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้น ก็ได้ยินเสียงลูกสาวคนเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้น และแช่งด่าคนที่ทำให้แมวที่น่ารักของแกตาย เสียงแกทำให้ผมสะดุ้งเพราะนางสามสีมันตายเพราะเท้าผมแท้ๆ ส่วน ศีลข้ออื่นคุณคิดดูก็แล้วกัน อย่าให้ผมพูดเลย
(กฎแห่งกรรม โดย ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๒)
ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. เชื้อไวรัสเอดส์ทำลายภูมิคุ้มกันทางร่างกาย ฉันใด สุรา (รวมทั้งสิ่งมอมเมาอื่น ๆ) ก็ทำลายสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันทางจิตใจ ฉันนั้น คนเมาย่อมทำบาปกรรมหรือแสดงกิริยาที่เลวทรามต่ำช้าต่าง ๆ โดยไม่ละอาย และไม่คำนึงถึงผลเสียใด ๆ ที่จะติดตามมา ชีวิตและทรัพย์สินที่สูญเสียไปเพราะสุราเป็นเหตุ มีมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้น ศีลข้อ ๕ จึงสำคัญมาก หากรักษาไม่ได้แล้ว ศีลข้ออื่นก็พลอยพินาศไปด้วย ดังที่นายแว่นตาโตได้ประสบมาด้วยตนเอง
๒. คนเราจะไม่ทำบาปเพราะเหตุ ๒ ประการคือ
๒.๑ หิริ หมายถึง ละอายบาป เห็นว่าการทำบาปเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (ขณะที่กำลังลักมะม่วง เสียงของแม่และเด็กทำให้นายแว่นตาโตรู้สึกละอาย ความละอายนี้คือหิรินั่นเอง แต่แล้วก็หมดไปเพราะความเมา)
๒.๒ โอตตัปปะ หมายถึง กลัวบาป คือ กลัวว่าทำบาปแล้วจะถูกติเตียน ถูกลงโทษ หรือตกไปในอบายภูมิ
ท่านเปรียบเทียบหิริกับโอตตัปปะว่า เปรียบเหมือนเหล็ก ๒ ก้อน ก้อนหนึ่งเย็นแต่เปื้อนอุจจาระ ก้อนหนึ่งร้อนไฟลุกโชน คนฉลาดไม่จับเหล็กที่เย็นเพราะรังเกียจว่าเปื้อนอุจจาระ ไม่จับเหล็กอีกก้อนเพราะกลัวความร้อน คนที่มีหิริโอตตัปปะจะไม่ก่อกรรมทำชั่วให้เป็นที่เดือดร้อนแก่สังคม ความเมาทำให้หิริโอตตัปปะหมดไป ดังนั้น สุราจึงเป็นตัวบ่อนทำลายความสงบสุขของสังคม
๓. ในสัพพลหุสสูตร (๒๓/๑๓๐) พระพุทธเจ้าตรัสถึงโทษของสุราว่า ผู้ที่เสพสุราเป็นอาจิณ เมื่อตายแล้วย่อมไปสู่นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย (เปรต) ส่วนโทษอย่างเบาที่สุดของการดื่มสุรา คือ ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นคนบ้า