เมื่อเราสังเกตความดีในตัวเอง สังเกตความดีในการกระทำและน้ำใจของคนรอบข้าง เราจะรู้สึกเสมือนมีหยดน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจเรา ทำให้เราสดชื่นเบิกบานตลอดเวลา
เมื่อได้พิจารณาจิตใจของเราขณะปฏิบัติแล้วเห็นว่า ขณะนี้กิเลสไม่ปรากฏ หรือคุณธรรมข้อใดข้อหนึ่งกำลังปรากฏอยู่ เราต้องสำนึกรับรู้ความดีที่ปรากฏนั้น ต้องรู้จักอนุโมทนา แสดงมุทิตาจิต เพราะนี่เป็นแหล่งความสุขที่สำคัญในชีวิต แต่นักปฏิบัติจำนวนมากไม่คิดจะทำเช่นนั้น น่าจะเป็นเพราะกลัวจะเกิดความรู้สึกถือตัวถือตนว่าดีว่าเก่ง แต่การอนุโมทนาที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่อนุโมทนาตัวเราว่าดีว่าเก่ง แต่เป็นการอนุโมทนาตัวคุณธรรม เป็นการรู้จักชื่นชมยินดีกับการเกิดขึ้นของความดีงามที่ปรากฏในจิตใจของเรา โดยไม่ต้องเกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าเราดีเราเก่งอย่างไร เราแยกแยะได้ และถือว่าชีวิตเราเป็นเพียงภาชนะอย่างหนึ่งที่รองรับความดีที่เกิดขึ้นเท่านั้น
เมื่อเราเจริญมุทิตาเป็น ชีวิตเราจะไม่มีวันซึมเศร้า ไม่มีวันจะหมดกำลังใจ แล้วเราจะไวต่อความดีของผู้คนรอบข้างด้วย มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความดีทั้งวัน อาจไม่ใช่ความดีที่น่าตื่นเต้น แต่เป็นความดีธรรมดาๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคนทุกคน เมื่อเราสังเกตความดีในตัวเอง สังเกตความดีในการกระทำและน้ำใจของคนรอบข้าง เราจะรู้สึกเสมือนมีหยดน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจเรา ทำให้เราสดชื่นเบิกบานตลอดเวลา
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องพยายามมองทุกสิ่งทุกอย่างในแง่ดี อย่างนั้นก็ไม่เป็นธรรมชาติ มันเป็นเหมือนการทำใจเสียมากกว่า ในการเจริญมุทิตาจิตนั้น เราเอาความจริงเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่พยายามหลอกลวงชักชวนจิตให้มองในแง่ดี แต่เป็นการลืมหูลืมตารับรู้รับทราบต่อความจริงที่ปรากฏในคนรอบข้าง ในตัวเราเอง และรู้จักชื่นชมความดีนั้น ความสุขจากการแสดงมุทิตาจิต เป็นความสุขที่ไม่มีโทษ ไม่มีเงาตามตัว และจะไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง
พระอาจารย์ชยสาโร