ค้นหาในเว็บไซต์ :

การทำลายธรรมชาติทุกๆ ชนิด มาจากผู้เห็นแก่ตัว


#EarthDay โลกนี้กำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวเพิ่มมากขึ้น เพิ่มมากขึ้น คนจนพื้นฐานก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีร่ำรวยก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว ประเทศมหาอำนาจประเทศใหญ่ ๆ ก็เห็นแก่ตัว ประเทศเล็กๆก็เห็นแก่ตัว

มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว มันจึงมีวิกฤตการณ์ สิ่งเลวร้าย Crisis ทุกชนิด ทุกชนิด มาจากความเห็นแก่ตัว

คนเห็นแก่ตัวมันก็ยังสร้างมลภาวะ ภาวะไม่พึงปรารถนา สกปรก รกรุงรัง อันตราย มลภาวะที่กำลังเป็นปัญหาในโลกเวลานี้ เป็นปัญหาในโลกเวลานี้

แล้วในที่สุด มนุษย์นี้มันก็หลงทาง ความเห็นแก่ตัว มันก็สรรหาแต่ความเพลิดเพลิน เอร็ดอร่อย สนุกสนาน เพื่อตัว เพื่อหล่อเลี้ยงกิเลสของตัว

พอเห็นแก่ตัว มันก็ไม่เห็นประโยชน์ของผู้อื่น มันไม่เห็นแก่ความถูกต้องใดๆ ก็ทำไปตามพอใจ มันเกิดอาการเลวร้ายมากขึ้นๆ

ในโลกนี้ มลภาวะทั้งหลายเกิดมาจากผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้น การทำลายธรรมชาติอันสวยงาม อันมีประโยชน์ให้หมดไปก็เป็นเรื่องของผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้น

#อยู่อย่างพอดี

พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในฐานะเป็นสิ่งๆ หนึ่ง คือ สุดโต่งฝ่ายหนึ่งเรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค หยุดบูชากามารมณ์กันเสีย และฝ่ายที่ตรงกันข้ามก็อย่าไปเอากับมันเลย (อัตตกิลมถานุโยค) แต่คนก็จะไม่ค่อยเอากันอยู่แล้วเรื่องทรมานร่างกาย

นี่เอาตรงกลางพอดีๆ ไม่โต่งไปในทางกามารมณ์ ไม่โต่งไปในทางทรมานร่างกาย เอาพอดีๆ เป็นอยู่อย่างถูกต้องพอดี

คำว่า พอดีๆ นั้นสำคัญมาก เหมือนกับคำพูดเล่นๆ แต่เป็นคำพูดที่สูงสุด

พอดีๆ นี่จะทำให้อยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุขที่สุดและจะบรรลุมรรคผลนิพพานก็ได้

แม้ว่าจะอยู่ในโลกนี้เป็นคนธรรมดาสามัญก็ต้องมีความถูกต้อง และพอดีๆ อย่าให้มันเกิน มันจะไม่ยุ่งยากลำบากเหมือนกับที่เขาไม่รู้จักพอดี

เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องนุ่ง เรื่องห่ม ไม่รู้จักพอดี ไม่มีคำว่าพอดี มีแต่ให้มันดี ดีไม่มีที่สิ้นสุดนั่น

มนุษย์มันทำลายธรรมชาติอย่างไร?

ตัวอย่างของการที่ว่า สิ่งที่เกิดอยู่ในป่า มันถูกกอบโกย ถูกทำลาย เดี๋ยวนี้ก็ยังมี ถ้าใครจะเอาผลไม้ป่า สะตอ หรืออะไรก็ตามที่เขาเป็นของในป่าที่ยังไม่มีเจ้าของโดยตรง มันก็โค่นต้นเพื่อที่จะเอาผล แค่หาบหนึ่ง สองหาบเท่านั้น

ไม่เห็นจะแคร์ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ถ้าเราเอาเท่าที่จำเป็นแล้วก็ไม่ทำลายทรัพยากรอันนั้น มันก็ยังไปได้อีกนาน

นี่เป็นเครื่องเปรียบเทียบเท่านั้นเอง แต่ข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่เป็นต้นเหตุแท้จริง มันมีมากกว่านั้นอีก แปลว่า มันพึ่งมีปัญหาขึ้นเมื่อถึงสมัยที่คนรู้จักเห็นแก่ตัวและกอบโกย

นั่นสมัยก่อนหน้านี้ เขาไม่ต้องมาสอนอย่างนี้แหละ #สอนให้เห็นแก่ผู้อื่นก็มันไม่มีใครที่เอาเปรียบใคร

เดี๋ยวนี้ทำไมต้องสอนว่า ให้เห็นแก่ผู้อื่น ให้สละให้ผู้อื่น

แต่แล้วก็ไม่มีใครทำ เขาสอนกันแต่ปาก!

พุทธทาสภิกขุ

12







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย