"สมาธิ เครื่องหนุนปัญญา"
" ..
-
ศีล เป็นเครื่องอบรมสมาธิให้สงบได้ง่าย
-
สมาธิ เป็นเครื่องหนุนปัญญาให้เดินได้คล่องตัว
-
ปัญญา เป็นเครื่องซักฟอกกิเลสทั้งหลายให้หลุดพ้นไปโดยชอบ
๓ ประเภทนี้
"การบำเพ็ญสมาธิขอแต่เพียงเป็นบาทวิปัสสนา คือการพิจารณาก็พอแล้ว" การบำเพ็ญสมาธิเอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสสนา
"วิปัสสนาคือการพิจารณา" ก็พอแล้ว
ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น
"ก็ให้กำหนดรู้" หมายความว่าอย่างไร "
การบำเพ็ญสมาธิคือความสงบใจ ใจเมื่ออิ่มอารมณ์ ไม่หิวโหยในอารมณ์" พาทำงานทำการอะไรก็ทำได้ ไม่โดดโน้นโดดนี้ คือ
"จิตที่หิวอารมณ์นี้ แทนที่จะพิจารณาทางด้านปัญญา มันแฉลบออกไปตามอารมณ์ของมันที่ชอบใจ"
จิต
"จิตที่มีความสงบแล้วย่อมอิ่มอารมณ์ไม่ดีดไม่ดิ้น" พาทำงานอะไรก็ทำ ๆ นี่ท่านบอก
นี่ละเป็นงานที่ชอบธรรม
เราที่ประจักษ์ก็คือ เราเองถูกพ่อแม่ครูจารย์ขนาบเอา ท่านใส่บทไหนนี้แหม ลืมไม่ได้เลย ตอนจิตเป็นสมาธิมีความสงบ ท่านก็ถามเรื่อย
"เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีเหรอ สงบดีอยู่" ก็บอกอย่างนั้น เวลาสงบก็บอกสงบ ดีอยู่ ๆ เรื่อย บทเวลาท่านจะเอานี้โถ ผางเลย เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดี
"ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ" ขึ้นเลยทันที เห็นไหมล่ะ ต้องเอาหนักๆ ไม่งั้นสมาธิไม่หลุดจากเขียง
"มันจะนอนอยู่เหมือนหมูบนเขียง คือสมาธิ"
"ติดสมาธิ ไม่ออกทางด้านปัญญาก็หาความแยบคายแก้กิเลสไม่ได้ เพราะการแก้กิเลสแก้ด้วยปัญญา สมาธิเป็นเครื่องหนุนเท่านั้นเอง" .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4293&CatID=2