ศีล
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
สีลํ สีลา วิย ศีล คือ ความปกติ
อุปมาได้เท่ากับหิน
ซึ่งเป็นของหนักและเป็นแก่นของดิน
แม้จะมีวาตธาตุมาเป่าสักเท่าใด
ก็ไม่มีการสะเทือนหวั่นไหวเลย
แต่ว่าเราจะสำคัญถือแต่เพียงคำว่า ศีล เท่านั้น
ก็จะทำให้เรางมงายอีก
ต้องให้รู้จักเสียว่าศีลนั้นอยู่ที่ไหน?
มีตัวตนเป็นอย่างไร?
อะไรเล่าเป็นตัวศีล? ใครเป็นผู้รักษา?
ถ้ารู้จักว่าใครเป็นผู้รักษาแล้ว
ก็จะรู้จักว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล
ถ้าไม่เข้าใจเรื่องศีล
ก็จะงมงายไม่ถือศีลเพียงนอกๆ
เดี๋ยวก็ไปหาเอาที่นั้นทีนี้จึงจะมีศีล
ไปขอเอาที่นั่นที่นี่จึงมี
เมื่อยังเที่ยวหาเที่ยวขออยู่ไม่ใช่หลงศีลดอกหรือ?
ไม่ใช่สีลพัตตปรามาสถือนอกๆ
ลูบๆ คลำๆ อยู่หรือ?
อิทํ สจฺจาภินิเวสทิฏฐิ
จะเห็นความงมงายของตนว่า
เป็นของจริงเที่ยงแท้
ผู้ไม่หลง ย่อมไม่ไปเที่ยวขอเที่ยวหา
เพราะเข้าใจแล้วว่า
ศีลก็อยู่ที่ตนนี้
จะรักษาโทษทั้งหลายก็ตนเป็นผู้รักษา
ดังที่ว่า "เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ วทามิ"
เจตนา เป็นตัวศีล
เจตนา คืออะไร?
เจตนานี้ต้องแปลงอีกจึงจะได้ความ
ต้องเอาสระ เอ มาเป็น อิ
เอา ต สะกดเข้าไป เรียกว่า จิตฺต คือ จิตใจ
คนเราถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่า คน
มีแต่กายจะสำเร็จการทำอะไรได้?
ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อจิตใจไม่เป็นศีล
กายก็ประพฤติไปต่างๆ
จึงกล่าวได้ว่า ศีลมีตัวเดียว
นอกนั้นเป็นแต่เรื่องโทษที่ควรละเว้น
โทษ ๕ โทษ ๘ โทษ ๑๐ โทษ ๒๒๗
รักษาไม่ให้มีโทษต่างๆ
ก็สำเร็จเป็นศีลตัวเดียว
รักษาผู้เดียวนั้นได้แล้ว
มันก็ไม่มีโทษเท่านั้นเอง
ก็จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว
ไม่มีเรื่องหลงมาหาหลงขอ
คนที่หาขอต้องเป็นคนทุกข์
ไม่มีอะไรจึงเที่ยวหาขอ
เดี๋ยวก็กล่าว ยาจามิๆ
ขอแล้วขอเล่า
ขอเท่าไรยิ่งไม่มียิ่งอดอยากยากเข็ญ
เราได้มาแล้วมีอยู่แล้วซึ่งกายกับจิต
รูปกายก็เอามาแล้วจากบิดามารดาของเรา
จิตก็มีอยู่แล้ว
ชื่อว่า ของเรามีพร้อมบริบูรณ์แล้ว
จะทำให้เป็นศีลก็ทำเสีย
ไม่ต้องกล่าวว่า ศีลมีอยู่ที่โน้นที่นี้
กาลนั้นจึงจะมีกาลนี้จึงจะมี ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว
อกาลิโก รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลก็ไม่มีกาล
เรื่องนี้ต้องมีหลักฐานพร้อมอีก
เมื่อครั้งพุทธกาลนั้น พวกปัญจวัคคีย์ก็ดี
พระยสและบิดามารดาภรรยาเก่าของท่านก็ดี
ภัททวัคคีย์ชฏิลทั้งบริวารก็ดี
พระเจ้าพิมพิสาร
และราชบริพาร ๑๒ นหุตก็ดี ฯลฯ
ก่อนจะฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ปรากฏว่า ได้สมาทานศีลเสียก่อนจึงฟังเทศนา
พระองค์เทศนาไปทีเดียว
ทำไมท่านเหล่านั้นจึงได้สำเร็จมรรคผล
ศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านเหล่านั้นมาแต่ไหน
ไม่เห็นพระองค์ตรัสบอกให้ท่านเหล่านั้น
ขอเอาศีล สมาธิ ปัญญา จากพระองค์
เมื่อได้ลิ้มรสธรรมเทศนาของพระองค์แล้ว
ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีขึ้นในท่านเหล่านั้นเอง
โดยไม่มีการขอและไม่มีการเอาให้
มัคคสามัคคี ไม่มีใครหยิบยกให้เข้ากัน
จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา
ฉะนั้นเราไม่หลงศีล
จึงจะเป็นวิญญูชนอันแท้จริง
ที่มา...มุตโตทัย
พระธรรมเทศนาของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
บันทึกโดย พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
และ พระอาจารย์ทองคำ ญาโณภาโส
ณ วัดป่าบ้านหนองผือ
อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒
http://www.luangpumun.org/
_/|\__/|\__/|\_