ผลิปัญญา..จากจิตที่มีธรรม รับปีใหม่แห่งชีวิต...
พระอาจารย์อารยะวังโส
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com
ขอเจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่วันที่ครบสามร้อยหกสิบห้าของปีพุทธศักราช 2554
หลายๆ ท่านคงมีกิจกรรมในห้วงเวลาส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่
จะไปเที่ยวพักผ่อน พบญาติ ทำบุญ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม
หรือ เมาระยำหงำเหงือก ร้องรำทำเพลงกันไป
ก็คงเป็นเรื่องส่วนบุคคลในสังคมที่สบายๆ
เมามายไปด้วยวัตถุนิยมแบบนี้
จึงให้อนุสติดีนักต่อการคิดพิจารณาให้เห็นความจริง
อันเป็น "สัจธรรม"บางบุคคล..บางหมู่คณะ ก็คงมีสติ เกิด ปัญญามากขึ้น
จากประสบการณ์ชีวิตที่พานพบเรื่องราวต่างๆ นานา
ที่ให้ความทุกข์ มากกว่า ความสุขใจ
ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลกใบนี้
ด้วยความเข้าใจหลักธรรมตามวิถีพุทธ จึงชักชวนกันประกอบการกุศล
ไปสวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติธรรม ประกอบการทางกุศล รักษาศีล
เพื่อหวังความสงบสุขทางใจ
ที่เกิดจากการรู้จักปล่อยวาง รู้จักคิดดีอย่างมีสติปัญญา
ที่นำพาไปสู่ความรู้ความเข้าใจในนานาสาระ
ว่าเป็นธรรมดา...ทุกอย่างเป็นเช่นนี้เอง!!
แต่ในบางบุคคล บางหมู่คณะ ก็อาจจะมีพฤติกรรมตรงข้าม
ด้วยความบกพร่องในสติปัญญา...ภูมิคุ้มกันความชั่วชำรุด
...จึงมุ่งคิด เหนี่ยวจิตให้ทะยานอยาก ดิ้นรนไขว่คว้าหาสวรรค์วิมาน
วัตถุสมมติทั้งหลายไปตามเรื่องตามราว
อย่างหน้ามืดตามัวเหมือนคนบ้าหอบฟาง...
คนเหล่านี้ แม้จะเดินทางไปวัดก็ไม่ได้พบพระ..
แม้จะได้พบพระก็ฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง..
แม้จะฟังรู้เรื่องบ้างก็เลือกอวดรู้เกินพระ!! ..
สุดท้ายจึงไม่ได้เรื่องดีๆ สักเรื่อง..
เพราะเรื่องชั่วๆ ด้วยความหมกเมาของจิต
ที่มากไปด้วยความทะยานอยาก
มันปิดกั้นไว้ ให้จิตมันปิดประตูไม่รับธรรม
ขาดสติกรองกระแสความคิด จึงปิดปัญญา...
นับเป็นโรคหายนะที่น่ากลัวของสัตว์ประเสริฐ 2 เท้าทั้งหลาย
มนุษย์เรานั้นถือกำเนิดเกิดมาตามกรรมจำแนก
มีกรรมเป็นเครื่องอาศัย มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
เป็นสัตว์โลกที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจกฎแห่งกรรม
อย่างมิบังอาจหลีกเลี่ยงไปได้
ดุจมือของผู้ใหญ่ ที่ฉุดรั้งมือเด็กน้อยไว้
มิให้วิ่งเล่นไปไหนตามใจชอบได้
จนกว่าผู้ใหญ่ท่านนั้นจะผ่อนคลายกำมือออก
เช่นเดียวกันกับอำนาจแห่งกรรม
ที่ควบคุมสัตว์ทั้งหลายไว้ให้เป็นไปตามผลหรือวิบากแห่งกรรมนั้นๆ ...
ไม่ว่ากระทำสิ่งใดก็จะต้องได้รับผลแห่งการกระทำนั้นๆ ...
นี่เป็นสัจธรรมที่ควรพิจารณาให้มาก .. จนเกิดความรู้ ..
ความเข้าใจในความจริงที่เป็นธรรมดานั้นว่า.. เป็นเช่นนี้เอง ..
ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากนี้อย่างแน่นอน!!
จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกตนให้รู้จัก คิด พิจารณา ให้มากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะความเป็นมนุษย์ในทศวรรษนี้ ซึ่งจะต้องพบกับความทุกข์ ..
ปัญหาต่างๆ อย่างมากมาย จึงควร ฝึกตน
ให้รู้จักการใช้ความคิดให้ถูกต้องมีประสิทธิภาพ
ที่นำไปสู่การมีสติปัญญา
เพื่อความระลึกสำนึกตนเองในทางถูก ทางผิด
เพื่อการมีกำลังในการยับยั้ง ไม่ปล่อยตัว ปล่อยใจ
ไหลไปตามความคิดที่ขาดการกรองกระแส ...
จนขาดการผลิปัญญาให้กับตน...
การมุ่งเดินไปข้างหน้าของเส้นทางชีวิต ที่ยังไม่ขาดสูญ
เพราะผลกรรมยังสืบเนื่องอยู่นั้น
คงไม่มีอะไรที่ประเสริฐเท่ากับการมี สติปัญญา
ที่สามารถคิดพิจารณาเพื่อการรู้เท่า-รู้ทันในเรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้
ที่เราต้องเกี่ยวข้องอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
แม้การคิดพิจารณา จะไม่สามารถดับปัญหาแบบถอนรากถอนโคนได้
แต่ก็เพราะการรู้จักคิดพิจารณานี้แหละ
จึงทำให้เกิดสติปัญญาไว้เตือนตน
เพื่อการครองตนอยู่อย่างมีธรรม เพื่อการเข้าถึงความสงบ
หยุดความดิ้นรนวุ่นวายแหวกว่ายไม่รู้จบของชีวิต
"การรู้จักเตือนตนด้วยตน การ รู้จักสอบสวนตนด้วยตน"
จึงเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
ก็ต้องมาจากการคิดพิจารณาจนเกิดสติของจิตตนนี่เป็นสำคัญ...
อาตมามองดูประเทศไทย .. สังคมไทยในรอบปีที่ผ่านมา
ให้เห็นปัญหาหนึ่งของสังคมที่นำไปสู่ความมีเรื่องราววุ่นวายไม่รู้จบ
ก็ด้วยเพราะ ความไม่รู้จักคิดพิจารณา จึงเกิดโรคเมากระแส ..
บ้ากระแส ของหมู่ชนมากขึ้น
ไม่ว่าใครปลุกเร้าป่าวประกาศเรื่องอะไรออกมา
เราก็เต้น เป็นเจ้าเข้ากันตลอดเรื่อง เต้นกันไปเต้นกันมา
เหยียบเท้ากันบ้าง ไม่ถูกอกถูกใจกันบ้าง ก็ชวนให้ทะเลาะกัน
แตกแยกกัน ทั้งนี้ เพราะมูลเหตุของเรื่อง
คือ การขาดความรู้จักคิดพิจารณา...
อาจจะเป็นเพราะความหลงมัวเมาตามกระแสการเรียนรู้
ที่อำนาจวัตถุชี้นำเป็นเหตุ หรือ อาจจะด้วยความย่อหย่อน
ห่างไกลศีลธรรม จนชีวิตเร่งเร้าไปกับกระแสวัตถุนิยม
จนให้หยุดจิตคิดไม่เป็น .. ก็อย่างไรไม่ทราบ
สุดท้ายจึงกลายเป็นสังคมขาดสติ... สิ้นคิด...
ทอดทิ้งหลักความดีของบรรพชน
หันไปเดินตามก้นวัตถุนิยม
จนเริ่มสูญสลายเอกลักษณ์ของมนุษย์ที่มีอารยธรรมนำวิถีชีวิต ..
สังคมมาโดยตลอด
จึงไม่แปลก เมื่อมีการสร้างกระแสปลุกเร้า
ให้เราปล่อยจิตใจหลงเข้าไปเสพในอารมณ์นั้น ..
จนลุ่มหลงยึดถือในทิฏฐินั้นๆ ..
ตามความประสงค์ของผู้สร้างกระแส
ทั้งนี้ เพราะสภาวะความอ่อนแอของจิต ที่ขาดหลักคิด .. หลักธรรม
จึงทำให้ถูกบีบคั้นทางจิตใจ จากอารมณ์ที่เกิดจากการหลงเข้าไปเสพ
คิด พิจารณาตามกระแสนั้น... ที่สุดเราจึงเห็น ลัทธิ คลั่งไคล้บุคคล..
มัวเมาในจินตนาการแห่งอารมณ์..
จนเกิดเป็นค่านิยมที่วิบัติไปจาก สัจธรรม เกิดขึ้นในสังคม...
เมื่อลัทธิแห่งการปลุก เร้าให้หลงเข้าไป
ในกระแสจินตนาการแห่งอารมณ์
เกิดขึ้น การชี้นำใดๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ต่อการนำพาหมู่ชนไปในทิศทางแห่งความต้องการ
ดังภาพการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ออกมาสู่สาธารณะ
หลากหลายรูปแบบ และมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เมื่อการปรับแต่งแห่งการปลุกเร้านั้น
นำไปสู่การสร้างช่องว่างทางความคิด ..ที่ให้เกิดความแตกแยกขึ้น
เมื่อฐานความคิดแตกต่างจากการชี้นำอย่างมีทิศทางและเป้าหมาย
แม้จะเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน .. ในสังคมเดียวกัน
ก็ย่อมแตกต่างกันได้อย่างไม่ยาก
เมื่อการปลุกเร้าชี้นำมีผลต่อการทำลายกระบวนการคิด
พิจารณา อย่างมีคุณภาพของบุคคล...
ในสภาวการณ์ดังกล่าวของสังคม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องช่วยกัน
ให้ทิศทางอย่างเป็นธรรมชาติทางความคิด
เพื่อรู้จักการพิจารณาโดยธรรมของชนในสังคม
.. เราต้องสอนให้สมาชิกในครอบครัว รู้จักคิด พิจารณาให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อการมีสติปัญญากลับคืนมา
.. เพราะสติปัญญาเท่านั้น
ที่จะนำชนในสังคมออกมาจากปัญหามากมายก่ายกองได้
.. เพราะสติปัญญาเท่านั้น
ที่จะทำให้โครงสร้างแห่งกระบวนการคิดพิจารณา
คืนกลับมามีบทบาทอย่างมีคุณภาพอีกครั้ง
... จึงจะนำไปสู่การมีประสิทธิภาพในการใช้ความคิดพิจารณา
เพื่อดับทุกข์ทั้งปวงให้สิ้นไป
จากปีเก่า (พ.ศ.2554) จนจะย่างเข้าสู่ปีใหม่นี้ (พ.ศ.2555)
ภารกิจที่สำคัญของทุกๆ คน
คือ การช่วยชักนำกันให้คืนกลับมาเป็นผู้มีความรู้จัก คิด พิจารณา
เพื่อการมีปัญญา เข้าใจ รู้เท่าทันในสิ่งต่างๆ ที่ลึกลับซับซ้อนมากขึ้น
เพื่อการแยกให้ออกว่า.. อะไรดี .. อะไรชั่ว!! ในทางพระพุทธศาสนา
เราจึงมีการฝึกฝนให้รู้จักคิด พิจารณา เพื่อให้เกิดปัญญา
อันจะนำไปสู่การกระทำความชอบ ..
ตามหลักที่ว่า..ใจให้เย็น.. คิดให้เป็น.. ทำให้ได้..
จากคำกล่าวดังกล่าวจะเห็นได้ว่า
จะคิดให้เป็น ต้องทำใจให้เย็นเป็นปฐมบทเสียก่อนเป็นสำคัญ...
คำว่า "ทำใจให้เย็น" นั้น
คงจะไม่ใช่เรื่องความเย็นแบบอากาศธาตุ
แต่เป็นผู้มีความรู้จักควบคุมจิตใจของตนเอง ให้สงบนิ่ง
ไม่ติดเข้าไปในห้วงอารมณ์ใดๆ
นั่นหมายถึง อย่าพึ่งเชื่อ จนยึดถือเข้าไปในเรื่องนั้นๆ ...
จนจิตใจเสวยอารมณ์นั้นๆ ...ทำใจให้เย็นเสียก่อน เมื่อพบกับปัญหาใดๆ
หรือรับฟังเรื่องราวใดๆ หรือพบเห็นเรื่องใดๆ ...อย่าใจร้อน วู่วาม
จะเสียการ เสียงาน คนโบราณสอนความจริงนี้ไว้เสมอ
จึงต้องมีสติควบคุมจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในจิต
อย่าพึ่งปล่อยให้เกิดการคิดปรุงจนเสียจิต ให้ไปยึดในอารมณ์ชอบ-ชัง...
เมื่อสติเกิดขึ้น ปัญญาก็จะตามมา
"กล่าวว่า ปัญญาเกิดเพราะมีสติ ก็ว่าได้..."
จนเกิดความรู้เท่ารู้ทัน สามารถควบคุมจิตให้สงบนิ่ง ใจเย็น
ไม่เข้าไปวิตกกังวล จนเสียความสวยงามสงบนิ่งของจิต
และเมื่อใจเย็นจนจิตสงบนิ่ง ก็พร้อม คิด พิจารณา ใคร่ครวญ
สิ่งใดควรละ ก็จะรู้จักละ... สิ่งใดควรทำให้มี ..
ควรรักษาไว้ ก็จะรู้จักปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ...
จนสามารถควบคุมจิตใจของเรา
ให้รู้จักเป็นไปตามครรลองแห่งความคิดที่มีทิศทาง ..
มีธรรมเป็นธงชัย .. มีธรรมเป็นตราชู
ก็จะอ่อนน้อมยอมรับฟังความคิด-ความเห็นที่ถูก..ที่ควร
และรู้จักเข้มแข็งต่อการปฏิเสธหรือละวางสิ่งที่ไม่ควร..ไม่ถูกต้องตามธรรม
ก็จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นจนมีสติสัมปชัญญะ
คือ ความระลึกรู้และความรู้ตัวชอบ เกิดขึ้น
สามารถควบคุมพฤติจิต-พฤติกรรม (กาย-วาจา)
ให้ตั้งอยู่ในเขตสุจริตได้อย่างเป็นธรรมดา
จนเข้าใจ-เข้าถึงความเป็นธรรมดา
รู้จักคิดได้-ทำเป็น ถูกต้อง ชอบโดยธรรม
ก็จะนำไปสู่ความสิ้นปัญหาต่างๆ ได้ ...
ไม่ว่าโลกจะเกิด-ดับอีกกี่ครั้ง วิกฤตการณ์จะมีสักกี่หน
เราก็พร้อมจะรับ คือ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้สิ้นไปได้อย่างไม่ยาก
และสามารถช่วยเหลือหมู่ชน สังคม ประเทศชาติได้ด้วย
เพราะการพัฒนาตนให้มีคุณภาพ ด้วยการรู้จักคิด พิจารณา
จนเกิดสติปัญญาที่เข้มแข็งมั่นคง
สมฐานะที่เกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐในวิถีพุทธ
ความมี สติปัญญา ที่นำพาไปสู่การคิดพิจารณาที่ถูกต้อง
ก็จะชี้ทางแห่งความควรในการประพฤติชอบ
และความเพียรอันชอบที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความสิ้นทุกข์อย่างแท้จริง...
นั่นคือสติปัญญานี้แหละ จะทำให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
รู้จักลดละความโลภ .. ความอยากทั้งหลาย
และเข้าถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมได้ว่า
สุดท้าย ทุกชีวิตมุ่งหน้าสู่ความตายเป็นธรรมดา
จึงขอมอบบทธรรมดังกล่าวนี้เป็นมงคลชีวิตแด่สาธุชนทุกท่าน
เพื่อเป็นธัมมานุสติในการชี้นำชีวิตไปสู่ความสว่าง
เพื่อความสุขสงบเนื่องในปี พ.ศ.2555...
:: ที่มา...คอลัมน์: ปักธงธรรม: ผลิปัญญา..จากจิตที่มีธรรม
รับปีใหม่แห่งชีวิต...
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์