การประคองจิตเพื่อบำเพ็ญความดีให้สูงขึ้นไป : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

 จำปาพร  

พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...

ทางที่ดีจึงว่า คนเราได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนา
บุญกุศลตกแต่งมาดีแล้วอย่างนี้นะ ควรพยายามละเว้นกรรมอันชั่วนั้นให้ได้
สิ่งใดที่พระศาสดาทรงห้ามไว้ ก็พยายามเว้นให้ได้เลย
ดังนี้ พยายามทำตั้งแต่การงานที่มันปราศจากโทษ
ปราศจากบาปกรรมเวรภัยต่างๆนั้น
เมื่อทำได้อย่างนี้ในปัจจุบันนี้ก็มีความสุข
แม้ว่าจะไม่ร่ำรวยเหมือนอย่างบุคคลอื่นที่ร่ำรวยกันมากๆก็ตาม
แต่เมื่อมานึกถึง "สุจริตธรรม" ที่ตนได้รักษามา
ตนได้กระทำบำเพ็ญมาแล้วอย่างนี้มันก็ได้รับความอุ่นใจ
เพราะว่า "ทรัพย์ภายใน คือ บุญและคุณ" อันนี้น่ะ
มันติดสอยห้อยตามคนเราไปทุกแห่งทุกหน
อำนวยความสุขให้ในภพในชาติที่เกิดนั้นๆ

ซึ่งไม่เหมือนอย่าง "ทรัพย์ภายนอก มีเงินทอง เป็นต้น"
ของเหล่านี้มันอำนวยผลให้ตนมีความสุขแต่ในปัจจุบันนี้เท่านั้นเอง
ทั้งอำนวยความทุกข์ให้ด้วย ไม่ใช่อำนวยแต่ความสุข
เช่น ถูกเขาจี้เขาปล้นเอา เขาทุบเขาตีเอาจนเสียองคะก็มีไปต่อสู้กับเขา
บางคนก็ถูกเขาฆ่าตายไม่ทันได้บริโภคสมบัติอันนั้นไปนมนานอะไรเลย
อันหมู่นี้ทรัพย์ภายนอกน่ะมันอำนวยทั้งความสุขอำนวยทั้งความทุกข์ให้
ผู้ไม่มีปัญญาก็ไม่คิดแหละ คิดเอาแต่ว่าได้เงินมาใช้มาจ่าย
มีความสุขสนุกสนานก็พอแล้ว ส่วนความทุกข์ภัยพิบัติต่างๆ
อันจะเกิดมีแก่ตนและผู้อื่นนั้นไม่คิดไม่คำนึงเลย
เพราะฉะนั้นคนเราถึงจมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์นี่แหละ
หนีจากทุกข์อันนี้ไปไม่ได้

ชีวิตที่บุคคลไม่เพียรพยายามละกรรมชั่ว ทำกรรมอันดีนี่
ส่วนมากก็มีแต่ตกต่ำเรื่อยไป มันเป็นอย่างนั้น ทางจะสูงขึ้นไม่มี
อันผู้ที่ละความชั่วได้ ทำความดีให้เกิดมีขึ้นในตนแล้ว
ใจผ่องใสสะอาดเพราะไม่มีบาปกรรมมาครอบงำ
เช่นนั้นบุคคลสามารถทำความดีให้สูงขึ้นไปได้เลย
ก็หมายความว่า "ให้ทาน" ก็ให้มายินดีพอใจในการให้การบริจาค
"ศีล" ก็ยินดีในการรักษาให้บริสุทธิ์อย่างนี้นะ
มาแล้วอย่างนี้มันก็มีโอกาสที่จะ "ภาวนาสมาธิ" ได้
สามารถที่จะทำกุศลคุณงามความดีให้สูงขึ้นไปได้เลย
เพราะการภาวนามันเป็นการบำเพ็ญบุญกุศลอย่างสูง
แต่ถ้าใครทำใจให้มัวหมองอยู่ด้วยบาปกิเลสต่างๆหมู่นั้นน่ะ
ใจเศร้าหมองขุ่นมัวอยู่ด้วยกิเลสบาปอธรรมล่ะก็
ไม่สามารถที่จะมานั่งสมาธิภาวนาทำใจสงบได้ ให้คิดดู

ผู้ที่นั่งภาวนาทำใจให้สงบได้ ส่วนมากก็เป็นผู้ละบาปมาแล้ว
มีแต่บุญกุศลอยู่ในจิตใจนี้ เพราฉะนั้นน้อมใจ น้อมสติ
เข้าไปประคองจิตให้สงบอยู่ภายใน จิตก็สงบอยู่ได้
เมื่อจิตสงบอยู่ได้อย่างนี้ก็มีสติประคองจิตที่สงบนั้นแหละไว้
อย่าให้จิตมันวอกแวกไปทางอื่น อันนี้เรียกว่าเป็นวิธีที่สามนะวิธีฝึกจิตน่ะ
เมื่อจิตสงบลงไปแล้วหากว่า ไม่มีสติประคองไว้อย่างนี้นะ
จิตก็ถอนจากสมาธิแล้วก็ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไปในที่ต่างๆ
นั่นก็เมื่อใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอยเช่นนั้นแล้วปัญญาก็เกิดขึ้นไม่ได้
มันเป็นอย่างนี้ เมื่อไม่มีปัญญาแล้วก็เอาตัวรอดจากทุกข์ไม่ได้
รู้เท่าสังขารนามรูปนี้ไม่ได้ ก็ไปสำคัญว่านามรูปนี้
เป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขาไปอย่างนั้นแหละ

...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"การฝึกจิตเพื่อชีวิตที่สูงขึ้น"

5,608







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย