"ความริษยา"

 วิริยะ12  

 "ความริษยา"

" .. ความริษยานั้นจะเกิดได้ด้วยความรู้สึกไม่ดีต่อผู้ใดผู้หนึ่ง "ไม่ใช่ความเกลียด แต่เป็นความรู้สึกว่า ผู้ใดผู้หนึ่งนั้นมีดีกว่าตน เป็นที่สนใจมากกว่าตน ผู้ใหญ่ให้ความสำคัญมาก จนน่ากลัวว่าจะเกินหน้าตน" หรือไม่ก็ "เป็นความรู้สึก ทำนองหมั่นไส้ใครคนใดคนหนึ่งนั้น" ความรู้สึกทำนองดังกล่าว "ที่แท้จริงคือความริษยาที่จะพาให้โลกฉิบหาย" มากน้อยหนักเบาเพียงไร ขึ้นอยู่กับความแรงความอ่อนของความรู้สึกริษยาที่ก็คือความอิจฉาที่รุนแรงนั่นเอง

"บางคนไม่ใช่ผู้มีความริษยา" ที่จะเป็นเหตุแห่งความฉิบหาย "แต่อาจเป็นผู้ร่วมมือกับผู้มีความริษยา คือทั้งที่ความริษยาไม่ได้เกิดในใจตน แต่หลงร่วมก่อทุกข์โทษภัยกับผู้มีความริษยาได้ ด้วยการได้ยินได้ฟังวาจาของผู้มีความริษยา ที่กล่าวร้ายผู้ถูกริษยานานาประการ แล้วหลงเชื่อว่าเป็นความจริง" พลอยเห็นด้วยกับความไม่ดีไม่งามของผู้ถูกริษยา

เห็นสมควรที่จะมีส่วนช่วยให้เป็นที่ปรากฏความไม่ดีแก่โลก เพื่อช่วยคนทั้งหลายในโลกให้ห่างไกลจากความไม่ดีของคนคนหนึ่งนั้น "แม้คนคนหนึ่งนั้นมีความไม่ดีจริง ย่อมไม่ถูกริษยา ย่อมไม่มีผู้ริษยา ที่จะมุ่งให้โลกรู้เพื่อเข้าร่วมในการกีดกัน ในการทำลาย" ไม่ให้คนคนนั้นอยู่อย่างได้ดีมีความสงบสุข

"ดังนั้นควรมีสติใช้ความพิจารณาอย่างรอบคอบ" อย่าตกเป็นผู้ร่วมมือกับผู้หนึ่งผู้ใด "ที่มีใจริษยา ปรารถนาสร้างความเสื่อมเสีย ให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งที่มีฐานะน่าริษยาอย่างยิ่ง ในความรู้สึกของผู้ที่ความริษยาเกิดและเกิดอย่างรุนแรง" พอจะนำให้คิด ให้พูด ให้ทำ "ให้ผู้ที่ถูกริษยาให้กลายเป็นคนไม่ดี ไม่เป็นที่ควรเชื่อถือของคนดี" มีชื่อเสียงเกียรติยศ ที่จะสามารถทำลายผู้ที่เป็นคนดี ให้กลายเป็นคนไม่ดี ในสายตาของผู้ได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าของผู้ริษยา

"อาจจะโดยตรงจากวาจาของผู้ริษยานั้น หรืออาจจะมีการฟังต่อ ๆ กันมา ด้วยความเชื่อ โดยปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยว่า เป็นความจริงหรือเป็นความไม่จริงเพียงไร" ผลร้ายที่จะเกิดตามความเชื่ออย่างไม่เคลือบแคลงสงสัยเช่นนี้ แม้ผิดก็จะเกิดโทษ มากน้อยหนักเบาเพียงใดก็ได้ แล้วแต่กรณี .. "

แสงส่องใจ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๐
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙
 

5,628







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย