ค้นหาในเว็บไซต์ :

วสวัตตีมาราธิราชคำกลอน(ภาคจบ) ๒

 pt  

สองมหา ฝ่าฟัน ประจัญบุก
ผ่านทะลุ ทุกด่าน พลางสุขสม
ถึงสมุทร สุดไกล ไร้ผู้คน
จึงหยุดปลง บริขาร สำราญใจ

นั่งชายหาด อาบลม ชมเกลียวคลื่น
ฟังเสียงครืน ชื่นจิต พิสมัย
ความลำบาก ตากตรำ ที่กรำกาย
ก็มลาย หายหลุด ช่างสุขจริง

พอกำลัง วังชา กลับมาหมด
จิตกำหนด จดใจ ในกสิณ
จ้องเขม็ง เพ่งไป ในวาริน
กระแสสินธุ์ พลันนิ่งแตก แยกเป็นทาง

เกิดมรรคา แทรกผ่า มหาสมุทร
สองสงฆ์บุก รุดไป ไม่เกรงขาม
พอคล้อยผ่าน น้ำบรรจบ กลบหลังตาม
ถึงกึ่งกลาง ชลาลัย ให้ลานตา

เห็นสัตพิธรัตน์ ประดับปราสาท
งามพิลาส วาบวาว พราวแสงจ้า
ไพฑูรย์เพชร ทับทิม กลิ้งกลอกตา
ทองประพาฬ มุกดาเงิน ชวนเพลินมอง

ซุ้มทวาร บานใหญ่ วิไลนัก
แกะสลัก ยักษ์ลิง สิงห์ไกรสร
เหมราช นาคกบิล กินนร
เทพอัปสร มกรม้า สัมพาที

โตพารณ พรหมพงศ์ ดุรงค์พยัคฆ์
วิรูปักษ์ ทักทอ นรสีห์
ติณสีหะ สดายุ ครุฑอินทรี
ต่างเปล่งสี มีประกาย ลวดลายบัน

ผ่านทวาร ถึงกลาง ปรางค์ปราสาท
ใจหายวาบ เห็นซากมี บนที่นั่ง
ผอมหนักหนา ผ้าขาด ขัดตะหมาดภวังค์
พริ้มตานั่ง บัลลังก์ทอง ผ่องอำไพ

สองครูบา หันมา สบตาคิด
ก่อนจักปริ ปากเอ่ย ภิเปรยไข
ถึงโทษทัณฑ์ ท่านมุนี มีติดกาย
เนื่องมิได้ ใกล้หมู่ อยู่สามัคคี

อาวุโส ขาดอุโบสถกับสงฆ์
มาปลีกองค์ ปลงกาย คล้ายหน่ายหนี
เช้าจดค่ำ นั่งสบาย ใต้นที
ลืมหน้าที่ พี่น้อง ครรลองธรรม

จึงสงฆ์เห็น เป็นผิด ติดอาบัติ
ต้องโทษปรับ เข้าผลักมาร จ้องหยามหยัน
อย่าให้กวน ป่วนที่ พิธีกรรม
ขอองค์ท่าน รับคำ แล้วดั้นจร

อรหันต์ ลือลั่น สนั่นฤทธิ์
ฟังครูบา ตำหนิ จิตคลายถอน
ออกสมาธิ พิศมหา เพ่งตามอง
ไม่ยอกย้อน ยอมความ ตามกลับไป



ถึงวันงาน งามฤกษ์ เปิดสโมสร
พสกนิกร พร้อมพรั่ง ต่างหลั่งไหล
รอเสด็จ นโรดม พระทรงชัย
ณ ลานใหญ่ ใกล้ปะรำ ทำพิธี

ได้เวลา ยาตรพล สถลมารค
อโศกราช อาจอง สมศักดิ์ศรี
ห้อมล้อมทวย อำมาตย์ ปราชญ์มากมี
ดุจโกสีย์ เทวราช มากเดชา

ริ้วขบวน ส่วนหน้า กองม้าแกร่ง
แต่งชุดแดง แกมชมพู ดูสง่า
ถัดสังคีต ดุริยางค์ ย่างตามมา
งามเจิดจ้า ชุดผ้าขาว ก้าวบรรเลง

พลเดินเท้า พราวระยับ ช่างจับจิต
เกราะสัมฤทธิ์ สนิทกาย เลื่อมพรายเห็น
มือกุมดาบ พาดบ่า น่ายำเกรง
ตบเท้าเน้น เห็นพร้อม กึกก้องไกล

ราชรถ โสฬสม้า ตามมาห่าง
เว้นช่องว่าง รถสมภาร อาจารย์ใหญ่
บริพาร นางกำนัล คันถัดไป
ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา

พอถึงหน้า พลับพลา รถม้าหยุด
นริศลุก ผุดลง ตรงเข้าหา
แท่งเจดีย์ ที่สลัก หลักธัมมา
จุดบูชา ประทีปเสร็จ เสด็จปะรำ

นั่งประธาน งามเด่น เห็นสง่า
ปวงประชา หน้ารื่น ชื่นสุขสันต์
เปลวเทียนไข สยายแสง แรงแข่งกัน
เหมือนหนึ่งดัง ธรรมเรืองโรจน์ โชติตระการ



ณ เวลา เดียวกัน เบื้องชั้นหาว
มรุเจ้า ท้าวมาร จางสุขสันต์
ตั้งแต่พ่าย องค์บพิตร พิชิตมาร
ก็ฟุ้งซ่าน พล่านจิต คิดเอาคืน

ครั้นทราบกาล งานพิธี มีกำหนด
ธ ปรารภ สบถไป ใจครึกครื้น
ครั้งนี้แล จักขอแก้ แพ้กลับคืน
เปลี่ยนพลิกฟื้น คืนเห็น เป็นมีชัย

จึงวันงาน พานแผลง สำแดงเดช
ยังอาเพศ เสกลม ฮือโหมใส่
ฟ้าสลัว มัวแสง แห่งเทียนชัย
มวลไม้ใหญ่ สั่นไกว ไปตามลม

สายวิชชุ ปะทุแตก แลบพรึบพรับ
แทรกสลับ กับฟ้าก้อง คะนองขรม
บัดเดี๋ยวเปรี้ยง เสียงฟาด วาบจ้าจน
ไท้ผู้คน อลหม่าน พลุ่งพล่านใจ

บัดนั้น… อุปคุต ผุดผ่อง ผู้ต้องโทษ
มองฟ้าโกรธ พิโรธผ่า น่าสงสัย
จึงกำหนด จดจิต เพ่งพิศไป
เห็นมารใหญ่ ในนิมิต คิดก่อกวน

พระคุณเจ้า เฝ้ามาร พาลสับปลับ
ทรงตบะ เดชะยิ่ง ศีลครบถ้วน
พลันออกโอษฐ์ โจษแก้ ลมแปรปวน
ขอจงหวน ทวนกลับ หายดับไป

กาลบัดนั้น ฟ้ามืดดำ ฉับพลันขาว
พร่างสกาว วาวงาม อร่ามใส
แสงเทียนที่ หรี่คล้อย พลอยกลับกลาย
เปลี่ยนเป็นใหญ่ ประกายเปล่ง เด่นกว่าเดิม

มวลประชา เห็นลมบ้า ล้าสงบ
คลายวิตก อกใจ ให้ฮีกเหิม
ก้องไชโย โห่รับ กลับเหมือนเดิม
ต่างรื่นเริง เพลินงาน สำราญใจ

ท้าวมารา หน้าฉงน พิกลแท้
ใครหนอแน่ แก้มนต์ ของตนได้
เห็นสงฆ์แก่ แลประจัน พลันเข้าใจ
จึงโกรธใหญ่ ร้องท้าไป ได้เห็นกัน

บัดนั้น พญามาร พลุ่งพล่านจิต
บันดาลฤทธิ์ นิมิตกาย ให้กลายผัน
เป็นโคถึก คึกกระโดด โลดแล่นพลัน
ควบตะบัน ดุดันบ้า ฝ่าพิธี

องค์เถระ พรักพร้อม ไม่ยอมช้า
แปลงกายา ถลาติด ประชิดรี่
เป็นพยัคฆ์ สกัด ดักคาวี
โคบัดสี หันรีเบ้ เหทิศทาง

เจ้าเสือโคร่ง โฮ่งคำราม โจนตามติด
วัวตีนขวิด จิตสั่น พรั่นเกรงขาม
สะดุดพื้น ลื่นถลอก ออกนอกทาง
วิ่งตาลาน หางชี้ หนีห่างไกล

มารเคืองแค้น แปลงเป็น นาคราช
ส่ายผงาด วาบเพชร เกล็ดวาวใส
มีเจ็ดเศียร เวียนสลับ ฉกกลับไป
พยัคฆ์ใหญ่ ไวเหลือใจ กลายสุบรรณ

ครุฑสยาย คลายปีก หลีกเลี่ยงหลบ
นาคเวียนฉก ประกบตาม ไม่ห่างหลัง
กาศยป ผงกพลิก จิกศอพลัน
นาคาพลั้ง ถลำพลาด ถูกคาบไป

ห้อยนภา ถลาร้อง ท้องเกลียวบิด
ปากครุฑจิก มิดโคน เลือดข้นไหล
หมดแรงดิ้น สิ้นแรงสู้ งูกลับกลาย
เป็นยักษ์ร้าย กายป่อง พองนัยน์ตา

ควงกระบอง ทองแดง กวัดแกว่งโผน
ก้องตะโกน โจนถึง ขมึงหน้า
ไม่เอ่ยคำ รำไหว้ ให้เสียเวลา
เพียงพริบตา ยักษากราด ฟาดระนาว

ท้าวเวนไตย ไถลหาย กลายยักษ์บ้าง
สูงตระหง่าน กร่างพอง ถึงสองเท่า
โถมเข้าหา ยักษามาร พลางฟาดเอา
ด้วยแท่งเสา ยาวใหญ่ ใส่กบาล

ยักษาเตี้ย เสียขวัญ ไม่ทันหนี
ถูกหวดตี ศีรษะลั่น สั่นทั้งร่าง
ทรุดทาบดิน สิ้นกำแหง แปลงกลับมาร
นั่งหน้าม้าน ทนหยามหลู่ อดสูใจ

เมื่อนั้น…อุปคุต พุทธวงศ์ ทรงเดชะ
คลายตบะ กลับร่าง อร่ามใส
เป็นภิกษุ ผุดผ่อง มองจ้องไป
ท้าวมารใหญ่ ให้ตกใจ ใคร่ไกลลา

พระคุณเจ้า ย่างเท้า เข้าไปใกล้
พร้อมมาลัย ไหม้ช้ำ ดำคร่ำคร่า
พันอสุภ สุนัขเน่า เคล้ามาลา
เหม็นหนักหนา น่าขย้อน หนอนชอนไช

พอถึงคล้อง ล้อมซุก ทุคันธชาติ
แสนอุบาทว์ อุจาดคอ ผูกศอไว้
พร้อมประกาศ คาดโทษ อุโฆษไป
แม้นผู้ใด ไพร่พรหม ยมเทวัญ

ก็มิอาจ ดึงขาด กระชากได้
หมดทางคลาย สลายฤทธิ์ ประสิทธิ์มั่น
ปล่อยคาค้าง ประจาน เนิ่นนานวัน
เพื่อให้จำ ระวังจิต ไม่คิดพาล

แล้วเอ่ยปาก ตวาดคำ ลั่นตะเพิด
มารเตลิด เปิดอ้าว ไม่กล่าวขาน
แสนอับอาย ขายหน้า สิ้นท่าพาล
เหาะลนลาน ซานไป ไร้ที่พิง



เมื่อนั้น มารผยอง อ้อนวอนไหว้
เทพมากมาย ช่วยคลายมนต์ ลุกลนวิ่ง
บากหน้าขอ ง้อกราบ ฟุบทาบดิน
ไร้ศักดิ์สิ้น ผินไหน ใครก็เมิน

จำฝืนทน ตรงหา ท้าวมหาราช
ผู้เก่งกาจ มากล้น คนสรรเสริญ
ให้ช่วยดึง ทึ้งบาศ อุจาดเหลือเกิน
สิ้นขวยเขิน สะเทิ้นอาย ขายหน้าทน

สี่เทวัญ ชั้นฟ้า หน้าละห้อย
อ้างฤทธิ์ด้อย ต่ำต้อยนัก ศักดิ์ไม่สม
ไร้สามารถ มิอาจ แก้สาปมนต์
ขอพระองค์ ตรงยัง ท่านอมรินทร์

มารผิดหวัง ร่ำลา เหินฟ้าจาก
น้ำตาอาบ บากหน้า หามหินทร์
ครั้นพอปะ มเหสักข์ กลับได้ยิน
ท้าวสุรินทร์ ก็สิ้นกล จนปัญญา

จึงขึ้นหา ยามา ราชาเทพ
ถูกปฏิเสธ เจ็บซ้ำ พลันหนีหน้า
แวะดุสิต ผิดหวังอีก หลีกอำลา
ถึงนิมมา ปรนิม สิ้นถิ่นพรหม

ทั่วเทวัญ ชั้นฟ้า เทวาสถิต
หาคลายฤทธิ์ ประสิทธิ์กล้า วาจาสงฆ์
มารท้อแท้ แพ้พ่าย เหนื่อยหน่ายปลง
จึงเหาะลง ตรงหา ครูบาพลัน



ที่มา : พุทธชาดก

5







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย