วสวัตตีมาราธิราชคำกลอน(ภาคจบ) ๓
บัดนั้น พญามาร ผู้พาลผิด
ก้มหน้าชิด ติดเข่า เศร้าโศกศัลย์
สิ้นพยศ หมดลาย คลายดุดัน
เซื่องซึมนั่ง ยังหน้า มหามุนี
เฝ้าออดอ้อน วอนคำ พร่ำขอโทษ
โปรดคลายโกรธ งดทัณฑ์ ท่านฤาษี
ได้กุศล ผลบุญ หนุนบารมี
ขอจงคลี่ คลายบาศ ให้ขาดไป
อรหันต์ ฟังมาร พานหัวร่อ
บอกตนพอ ไม่ง้อบุญ มาหนุนใส่
มีแต่ท่าน ซิหน้าหมอง บุญพร่องไป
ลุกขึ้นไว อย่าพิไร ไสหัวเดิน
แล้วกระชาก ลากทึ้ง กึ่งบังคับ
มารผงะ ศีรษะหงาย กายงกเงิ่น
พระคุณเจ้า ก้าวยาว สาวเท้าเดิน
ราพณ์สิ้นเขิน เดินคอตก สงบไป
ถึงผาตรง สงฆ์แก่ พลันแก้ปลด
สายประคต รัดอกท่าน พันรอบไหล่
มัดมารพาล บันดาลอ้อม ล้อมรอบไป
โอบไศล ตรึงไว้ ให้ทรมาน
แล้วภิเปรย เอ่ยซ้ำ ย้ำกรอกหู
ท่านจงอยู่ คู่ผา อย่ายุ่มย่าม
หยุดดิ้นรน อดทน จนครบกาล
ครั้นงานผ่าน ตามกำหนด ถึงปลดคลาย
จบวาจา สงฆ์ชรา ก็ลากลับ
เข้าห้องหลับ ดับทุกข์ สุขเหลือหลาย
ฝ่ายท้าวมาร อกลาญยอก นั่งทอดกาย
สุขเหือดหาย ใจท้อ ทรมาน
เมื่อนั้น วสวัตตี ให้มีจิต
คะนึงคิด ทิพสมบัติ พักตร์หมองหมาง
ชั้นปรนิม สิ้นเทียบ จักเปรียบปาน
ล้วนโอฬาร ตระการตา น่าภิรมย์
ไร้เหลือบยุง บุ้งริ้น กัดกินเนื้อ
ห่อนร้อนเหลือ เหงื่อไคล ไหลหมักหมม
ผิวไม่ด้าน กร้านแตก ด้วยแดดลม
บ่ต้องทน ท้องหิว ไส้กิ่วครวญ
ทุกทิวา ราตรี มีแต่สุข
ปราศเรื่องทุกข์ สนุกไป ในแดนสรวง
เสียงรูปรส ครบครัน ชื่นฉ่ำทรวง
ต่างเย้ายวน ชวนเพลิน เจริญใจ
แต่บัดนี้ นึ่กระไร ไฉนเล่า
มานั่งเศร้า เฝ้าผา น่าสงสัย
ต้องยืนร้อน นอนหนาว รวดร้าวใจ
ทำอย่างไร ให้ประคต ขาดปลดคลาย
บัดนั้น พญามาร ร้าวรานจิต
หวนนึกคิด ภาพติดตา พาใจหาย
ครั้งพุทธองค์ ทรงสอน ผองเวไนย
ไม่ใจร้าย ละม้ายศิษย์ ผิดลงทัณฑ์
เคยกำแหง แผลงฤทธิ์ คิดโอ้อวด
เคยผนวก พวกพาล รุกรานท่าน
เคยจาบจ้วง วาจา น่าชิงชัง
เคยเกือบพลั้ง ผิดฆ่า บ้างมงาย
พระไม่เคย เอ่ยคำ ให้ช้ำจิต
ไม่ตำหนิ ติโกรธ โจษเสียหาย
ไม่สัมผัส จับต้อง ให้หมองกาย
ทรงอภัย ให้ทุกครั้ง ซ้ำเมตตา
แต่ครูบา บ้าฤทธิ์ ผิดสมณะ
ไม่ปล่อยปละ ละเว้น เห็นแก่หน้า
ทั้งกรรโชก โขกสับ จับตรึงตรา
ทั้งดุด่า ว่าซ้ำ ให้ช้ำใจ
มารกำสรวล ครวญคร่ำ พร่ำแต่กล่าว
ถึงเรื่องราว คราวหลัง รำพันไห้
จนปีเลื่อน เคลื่อนผ่าน กาลล่วงไป
ความแค้นใจ ก็มลาย หายหมดพลัน
ได้กำหนด ครบกาล ตามสัจจะ
องค์เถระ นัดมาร พลางผลุนผลัน
ออกสำนัก ลัดพง ตรงไปยัง
ผาคุมขัง กำบังแอบ แนบตามอง
เห็นมารตรม ซมเศร้า ดูเหงาจิต
นั่งดำริ ตริธรรม กรรมสนอง
ฉุกคำนึง ถึงบุญใหญ่ เคยใฝ่ปอง
เอ่ยซ้ำสอง ร้องคำ ร่ำรำพัน
ผิเบื้องหน้า บุญมี ราศีส่ง
ขอเหมือนองค์ ทรงพิสุทธิ์ ผุดผ่องขันธ์
มีเมตตา พาสัตว์ สลัดกรรม
ไม่หุนหัน ดุดันโกรธ ลงโทษใคร
อรหันต์ ฟังความ มารปรารภ
เผยปรากฏ ปลดบาศ ขาดหลุดหาย
แล้วออดอ้อน วอนง้อ ขออภัย
ที่ทำไป หวังไท ไร้จิตพาล
เพื่อประโยชน์ จึงโปรดองค์ ทรงดำริ
ปราบทิฐิ จิตคลาย หน่ายสงสาร
จนเอ่ยปาก ปรารถนา หานิพพาน
ใช่รอนราญ หยามองค์ ทรงตรองดู
บัดนี้ทรง ตรงเที่ยง ไม่เบี่ยงผัน
จิตมีธรรม ค้ำใจ ไม่หดหู่
ถือสำเร็จ เสร็จความ ตามคำครู
ที่ทรงรู้ คู่กรรม อุปถัมภ์มา
นับแต่นี้ เห็นที ต้องลี้จาก
จำใจพราก ยากพบ ประสบหา
ก่อนจากกัน ขอมารท่าน นั้นเมตตา
คลายกังขา คามี ที่ในใจ
ขอพระองค์ ทรงแสดง แปลงรูปร่าง
ทั่วสรรพางค์ งามเด่น เป็นไฉน
ดุจวิสุทธิ์ พุทธวงศ์ องค์จอมไตร
ให้ราษฎร์ไท้ ได้เห็น เป็นบุญตา
เนื่องมีท่าน เท่านั้น ที่ทันกราบ
องค์จอมปราชญ์ ผู้ประกาศ ศาสนา
ให้สมใจ หมายมาด อาตมา
ก่อนจากลา ลับไป ใจอาวรณ์
เจ้ากามา ยินวาจา ครูบากล่าว
น้ำตาพราว ร้าวอุระ พักตร์หม่นหมอง
นึกอดีต บีบฤทัย ให้อาวรณ์
อกสะท้อน ตรองภาพ ศาสดา
เมื่อนั้น พญามาร ผู้ผ่านผิด
สิ้นทิฐิ ตริคำ พลันตอบว่า
ผิเกล้าแสร้ง แปลงกาย คล้ายศาสดา
ขอครูบา อย่ากราบ ให้บาปกรรม
อรหันต์ ฟังมาร พลางตอบรับ
แล้วรีบกลับ นคเรศ เข้าเขตขัณฑ์
ป่าวประกาศ ราษฎร์ไท้รู้ มาดูกัน
ชนพร้อมพรั่ง โจษจันก้อง ร้องดีใจ
มหาชน ล้นหลาม ตามเนืองหนุน
มาชุมนุม ณ ทุ่งหญ้า ชายป่าใหญ่
ทั้งกษัตริย์ สมณชี มีมากมาย
เสนาไพร่ ใกล้ไกล หลั่งไหลมา
ได้เวลา เทพราชา เทวาใหญ่
พลันแปลงกาย คล้ายพุทธะ งามนักหนา
จรัสโฉม พระโคดม ทรงลีลา
เปล่งมหา ปุริสลักษณ์ ประทับใจ
พระฉัพพรรณ รังสี มีโอภาส
งามพิลาส วาบจิต พิสมัย
เจิดตระการ ยามมอง ผ่องอำไพ
เกินหาใด จักเปรียบ เทียบมุนินทร์
เบื้องซ้ายขวา โมคคัลลา สารีบุตร
ถัดภิกษุ ผุดผ่อง เรืองรองศีล
เหลืองอร่าม ย่างตาม ช่างงามจริง
ดูใหญ่ยิ่ง มิ่งชน องค์ศาสดา
อุปคุต พุทธบริษัท
พอประจักษ์ พักตร์เด่น เห็นเต็มหน้า
โลมชาติ ผงาดตั้ง ทั้งกายา
น้อมบูชา วันทากราบ บาทยุคล
บัดนั้น… วสวัตตี มีใจ ให้พลุ่งพล่าน
รีบคืนร่าง กลับกลาย คลายสับสน
เป็นท้าวมาร พลางตรัส กับฝูงชน
อย่ากราบตน เดี๋ยวบาปมาก ยากแก้คลาย
พระคุณเจ้า กล่าวไข กระไรบาป
ผู้คนกราบ เอิบอาบจิต พิศสมหมาย
กลับเป็นบุญ หนุนท่าน นั้นมากมาย
ขออย่าได้ งมงายเขลา จงเข้าใจ
ท่านทนทุกข์ ขลุกอยู่ คู่ผานี้
ผ่านราตรี ทิวา พาหมองไหม้
ยามค่ำหนาว ยามเช้าร้อน ทอดถอนใจ
เหลือบริ้นไร ไต่ตอม ต้องยอมทน
หิวแสนหิว ไส้กิ่ว หน้านิ่วอด
ทุกข์รันทด อกใจ ไม่สุขสม
กลับเคี่ยวกรำ ทำให้ คลายตัวตน
จิตผ่านพ้น ปลงอาฆาต สิ้นบาปกรรม
บัดนี้ถึง ซึ่งครา อำลาจาก
ขออราธนาบุญ ผดุงท่าน
จงสิ้นทุกข์ สุขสราญ ชื่นบานธรรม
สมดั่งลั่น คำถึง ซึ่งพุทธภูมิ
จอมสวรรค์ ชั้นมาร พานก้มกราบ
แทบสองบาท ปราชญ์มุนี อารีหนุน
แล้วเหาะฟ้า ลาไป ใจอาดูร
กลับเบื้องสูง มุ่งยัง… ชั้นปรนิม
₀ O ₀
สืบ ธรรมไทย
๑๔ กันยายน ๒๕๖๐