ความเป็นมนุษย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร)

 ภัสรามณี  

พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร
วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร
แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ



ร่างกายของคนเรานี่มันก็เหมือนเครื่องยนต์ ใช้มันไป ใช้มันไปมันก็ชำรุดก็ต้องยอมรับ ยอมรับว่าร่างกายของเรานี้มันต้องชำรุดแน่นอน เพราะว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ก็ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดาจะล่วงพ้นไปไม่ได้ ต้องมีความตายเป็นธรรมดาก็จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

แต่ว่าในขณะที่เรามีชีวิตอยู่นี่เราก็มาพัฒนาตัวเราเองให้มีความประเสริฐ เพราะว่ามนุษย์นี่ ผู้ที่บัญญัติคำว่ามนุษย์นี่เขารู้แล้วว่ามนุษย์มีความประเสริฐ เพราะว่า "มนะ" (มะนะ) แปลว่า ใจ อุษยะ แปลว่า ประเสริฐจริง แล้วก็มาสนธิเข้ากันเป็น "มนุษย์" เขาก็เลยเรียกว่าเป็นมนุษย์ มนุษย์แปลว่า มีใจอันประเสริฐ

เพราะว่า ผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมาเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาตรัสรู้ไม่ได้ เป็นมนุษย์ถึงจะตรัสรู้ได้ เพราะมนุษย์มันมีครบ อายตนะมันมีครบ ตา หู จมูก ลิ้น ร่างกายและก็จิตใจมันมีความสำคัญที่จะต้องได้ ทีนี้อย่างพวกเปรตมันเป็นอาทิสมานกาย แตะต้องไม่ได้ มีแต่เห็นภาพ แต่ตาเราธรรมดานี่มองไม่เห็น อย่างสัตว์นรกก็มีเป็นอาทิสมานกายแล้วก็ไปทนทุกข์ทรมาน และถ้าจะไปเป็นเทวดา เทวดาก็เป็นอาทิสมานกาย ไม่ใช่กายหยาบอันนี้ เป้นอาทิสมานกาย อาทิสมานกายเราก็มองไม่เห็น เรามองอย่างนี้เรามองไม่เห็น คนต้องมีตาทิพย์แล้วจึงจะเห็นเทวดา เห็นสัตว์นรกพวกนี้

เพราะฉะนั้นอันความเป็นมนุษย์นี่มันจึงพร้อม พร้อมด้วยกายวาจาใจ แล้วเราก็มีสัมผัสได้ จับต้องได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงมีการตั้งพระพุทธศาสนาขึ้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้ประกาศพระพุทธศาสนาให้ประชาชนหูตาสว่างว่าเราเกิดมาทำไม ถ้าหากว่าไม่มีความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วเราก็ไม่รู้ เราก็เพียงแต่ว่าเกิดเป็นมนุษย์กับเขาคนหนึ่ง เกิดมาแล้วก็แล้วกันไป แก่เหมือนกัน ตายเหมือนกัน แต่ว่าพอมีพระพุทธเจ้าแล้วธรรมะที่พระพุทธองค์แสดงไปเป็นของดีเป็นของวิเศษนับว่าเป็นแก้วรัตนมงคลของโลก ไม่มีอะไรที่จะดียิ่งขึ้นไปกว่า

ที่มา : ถอดความจาก ธรรมะฟ้าสาง หัวข้อ “มนุษย์จะงามได้ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา” ๐๗/๐๔/๕๘

5,733







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย