เมตตาและกรุณา : หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
		
		
			
			
			
			
			
			
			
						
			
				พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก จ.เชียงใหม่ 
...
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสรรเสริญว่า
ผู้ตั้งอยู่ในเมตตาธรรมนี้เป็นผู้มีความแช่มชื่นเบิกบาน 
ทั้งนั่ง ทั้งนอน ทั้งยืน ทั้งเดิน  หลับตื่นขึ้นมาก็เป็นสุข  
หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แช่มชื่นเบิกบานอยู่ตลอดคนที่มีเมตตา  
การที่บุคคลตั้งอยู่ในประเทศชาติบ้านเมืองใดทั้งเมืองนอกและเมืองใน 
ประเทศของตนเองก็ดี หากมี "เมตตา" ซึ่งกันและกันแล้ว
มีความรัก สนิทสนมกลมเกลียวซึ่งกันและกันแล้วทั้งเพื่อนมนุษย์
และสัตว์ทั้งหลายก็รักชีวิตของมนุษย์ เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายและชีวิตของตนเอง 
น้อมมาพิจารณาแล้วต้องการมีความสุขทั้งนั้น  
ต้องการอยู่ด้วยมีความสุข ไม่อยากให้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน 
มีทุบตีฆ่าฟันรันแทงซึ่งกันและกัน  ล้างผลาญชีวิตซึ่งกันและกันแล้ว  
มีความรักชีวิตของคนอื่นเหมือนชีวิตของตนเอง 
ตั้งอยู่ในเมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลาย
อย่างนี้แล้วก็ไม่มีการที่จะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน 
ฆ่าฟันรันแทงซึ่งกันและกัน  บ้านเมืองก็มีความสุขความสบาย
นี่แล้ว "ความสงสาร" หากบุคคลได้สงสารและมีความหวั่นใจ
เห็นบุคคลอื่นมีความทุกข์ความเดือดร้อนก็ดี  ก็อยากช่วยให้พ้นจากทุกข์นั้น 
อยากให้มีความสุขเหมือนอย่างที่ตัวเองอยากให้ตัวเองมีความสุข  
จะช่วยได้วิธีไหนก็ดี ช่วยด้วยการให้เงินให้ทองก็ดี 
ช่วยด้วยการแนะนำสั่งสอนให้ปฏิบัติเป็นคนดีนั่นก็ดี 
จะช่วยเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยให้ได้หยูกให้ยาก็ดี หรือให้เอาเข้าโรงพยาบาลนั้นก็ดี
มีความสงสารหรือคนตกน้ำอยู่ก็ดี สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในน้ำ
ตกอยู่ในห้วงความทุกข์ ก็จะช่วยให้พ้นจากทุกข์  
นี่ความสงสาร หวั่นใจอยู่อยากให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากกองทุกข์นั้นไป 
ให้มีความสุขเหมือนอย่างตนเอง นี่ กรุณา คือ ความสงสาร
หากบุคคลสงสารกันและกันแล้วต้องช่วยกัน ดูแลกัน 
แนะนำสั่งสอนกันให้มีความสุข ช่วยเหลือกันจนสุดความสามารถ
นี่เรียกว่า"กรุณา คือ ความสงสาร" เมื่อสงสารซึ่งกันและกันแล้ว
ก็ย่อมไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน  จะช่วยอยากมีแต่ความสุขเท่านั้น 
นี้แหละเรามาพินิจพิจารณาดูให้เข้าใจอย่างนี้  การที่บุคคลมีความหวั่นใจ
สงสารซึ่งกันและกันแล้วเราจะเห็นกันได้ชัดอย่างนี้อย่างหนึ่ง
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "เมตตาพรหมวิหาร ๔"