ถ้าว่ามีเงินเหลือใช้ก็ช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าไม่มีเงินจะไปช่วยเหลือผู้อื่นก็แจกแสงสว่างเรียกว่าแจกของส่องตะเกียง
เกิดมาทำไม นั้นก็คือดูได้ยาก ยากมากลำบากมาก อาตมาอยากจะแนะนำว่าควรจะแบ่งเป็นตอนๆ เกิดมาทำไม นี่ควรจะแบ่งเป็นตอนๆ
ตอนเด็กทำอะไร ตอนวัยรุ่นทำอะไร หนุ่มสาวทำอะไร ต่อมาเป็นพ่อบ้านแม่เรือนทำอะไรต่อมา คนแก่ทำอะไร กระทั่งเป็นคนแก่หง่อมทำอะไร ขอให้ได้ทำอย่างดีอย่างถูกต้องอย่างน่าชื่นใจ มันเป็นธรรมะอยู่ในตัวมันเอง
เป็นเด็กที่ดีของบิดามารดา
เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์
เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน
เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
เป็นสาวกที่ดีของพระศาสนาพระพุทธเจ้าพอแล้ว
เกิดมาทีหนึ่งให้ได้เป็นครบอย่างนี้ เป็นบุตรที่ดีเป็นศิษย์ที่ดีเป็นเพื่อนที่ดีเป็นพลเมืองที่ดีเป็นพุทธบริษัทที่ดี ส่วนว่าความสามารถจะรวยหรือไม่รวยนั้นถือเป็นพิเศษถ้ามันเกินไป ถ้ามันเหลือใช้ก็ควรจะคิดถึงผู้อื่น
แล้วควรจะมีหลักว่าพอเจ็ดสิบปีควรจะหยุด หยุดเรื่องยุ่งๆสักที อายุเจ็ดสิบปีควรจะหยุดเรื่องยุ่งๆ สักที อาตมายังอีกปีเดียวก็จะหยุดเรื่องยุ่งๆ ถึงแม้ว่าเป็นฆราวาสก็เหมือนกัน อายุเจ็ดสิบปีแล้วควรจะหยุดเรื่องยุ่งๆ เช่นว่าหยุดหาเงินหยุดอะไรก็ตาม ถ้าทำอะไรไม่ได้มากก็หาความสงบ ฝึกจิตแบบหนึ่งเลยคือแบบเหนือโลกเลย จะมีจะจนอะไรก็ตามใจ หยุด
ถ้าว่ามีเงินเหลือใช้ก็ช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าไม่มีเงินจะไปช่วยเหลือผู้อื่นก็แจกแสงสว่างเรียกว่าแจกของส่องตะเกียง ในภาพที่เขียนในตึกนี้ ภาพสุดท้ายของชีวิตเขาเขียนเป็นภาพเที่ยวแจกของส่องตะเกียง
ขอให้ทุกคน ทุกคนนี่อธิฐานจิตว่าในวาระสุดท้ายของชีวิตก็ขอให้เป็นผู้ แจกของส่องตะเกียง แจกของด้วยความเหลือกินเหลือใช้ แจกอะไรที่ควรจะแจกในลักษณะที่เป็นแจก สองตะเกียงนี้แปลว่าเป็นผู้ นั่ง พูดเดิน พูดหรือเที่ยวไปก็ได้ ให้ผู้อื่นได้รับแสงสว่าง ถ้าทำกับใครไม่ได้ก็ควรจะทำกับลูกหลาน อย่างน้อยทำกับลูกหลานให้ทั่วถึง...
พ่อบ้านแม่เรือนนี้ถ้าไม่ไปหลงใหลกับเรื่องเหลวไหลล่ะก็ ชีวิตย่อมเป็นการศึกษาย่อมสอนอยู่ในตัว ให้พ่อบ้านแม่เรือนนั้นมีความเฉลียวฉลาดในเรื่องของชีวิตมากขึ้นสำหรับลูกหลานเหลนต่อไปจะได้พึ่งพาอาศัย พอถึงระยะ เป็นคุณตาคุณยายคุณทวดอะไรก็แล้วแต่เป็นผู้ให้แสงสว่างได้ก็เลยได้บุญสูงสุด เพราะว่าธรรมทานคือการให้ธรรมะชนะเลิศเหนือกว่าการให้ทานอย่างอื่นหมด
พุทธทาสภิกขุ