สละสุขชั่วคราวเพื่อความสุขอันเป็นแก่นสาร (หลวงปู่เหรียญ)
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
ถ้าบุคคลใดได้ทำตนเป็นนักเลงดังกล่าวมาแล้วนั้น..ไม่มีทางหรอกมันจะได้มาบำเพ็ญมาบุญกุศล จะได้มาปฏิบัติตามพุทธโอวาทศาสนานี้ได้..ไม่มี ผู้ที่มาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้นั้นล้วนแต่เป็นผู้เว้นจากความเป็นนักเลงสี่ประเภทนั้นแหละ (นักเลงผู้หญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร) ผู้ใดเว้นจากความเป็นนักเลงดังกล่าวมานั้นแสดงว่าเป็นคนดี จิตใจก็ดี เป็นคนรักชีวิตของตัวเอง ปรารถนาอยากจะให้ตัวเองนั้นถึงซึ่งความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไป เพราะฉะนั้นจึงได้เว้นจากความชั่วอันหยาบคายต่างๆเหล่านั้น
ดังผู้ที่หันหน้าเข้ามาทนุบำรุงวัดวาศาสนาอยู่ ถึงกับได้มาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ ล้วนแต่เป็นผู้รักตนทั้งนั้นแหละ เป็นผู้ที่ปรารถนาจะยกตนให้พ้นภัยในวัฎสงสาร ให้ได้บรรลุถึงซึ่งความสุขอันเป็นแก่นสาร ผู้ที่ไม่ติดไม่ข้องอยู่ในความสุขชั่วคราว ความสุขในการกินความสุขในการนอน ความสุขในการเพลิดเพลินในมหรสพคบงันต่างๆ ความสุขในการมีเงินมีทองมากๆแล้วสนุกใช้สนุกจ่าย หมู่นี้นักปราชญ์ท่านกล่าวว่าเป็นความสุขชั่วคราว เป็นความสุขเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นความสุขอันเป็นแก่นสาร
อันผู้ที่แสวงหาความสุขอันเป็นแก่นสารนั้นมันก็จะต้องสละความสุขพอประมาณนี้ออกไปจากจิตใจ หมายความว่า ไม่ติดไม่ข้องในความสุขพอประมาณแม้ว่าจะได้รับความสุขพอประมาณนั้นก็เลือกยินดีกับความสุขพอประมาณ เช่น อย่างว่า สุขในการกินอย่างนี้นะ เราก็กินพอประมาณแล้วก็ไม่ติดรสชาติของอาหารเหล่านั้น แม้สุขในการนอน การนอนนี่มันก็มีความสุขเหมือนกันแหละ แต่ผู้ไม่ติดในการนอนนั้นหมายความว่า ฝึกหัดนอนเอาพอประมาณ ที่มาทำความเพียรละอาสวกิเลสออกไปจากจิตใจ กลางวันก็นอน เอ้า กลางคืนก็นอนเข้าไปอีกอย่างนี้ เอาเวลานอนมากกว่าเวลาทำการงานอย่างนี้ มันก็ไม่มีทางที่จะได้ทำกุศลคุณงามความดีเจริญงอกงามในจิตใจของตนได้ อย่าว่าแต่มรรคผลธรรมวิเศษเลย แม้แต่จะบำเพ็ญกุศลอันเป็นส่วนโลกีย์นี่ก็บำเพ็ญให้เจริญขึ้นไม่ได้เลย
ที่มา : ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “พึงสำรวมใจให้ต่อเนื่องกัน”