คำว่ารักผู้อื่น เพียงคำเดียวเท่านั้นแหละพอ มันพอมันพอเป็นทุกอย่างทุกประการในการที่จะแก้ปัญหาอันเกี่ยวกับสันติสุข และสันติภาพของคนเรา
ธรรมะไหนกันที่จะเป็นเอกลักษณ์ไทย?
อาตมาตอบว่าธรรมมะข้อที่เป็นหัวใจของทุกๆ ศาสนา ได้แก่ธรรมะที่ว่า "ความรักผู้อื่น"
ทุกศาสนามีหัวใจของการสั่งสอนอยู่ที่ให้รักผู้อื่น อย่างในบางศาสนาก็ว่า รักเขาเหมือนกับที่พระเจ้ารักเรา หรือจะพูดอย่างพุทธศาสนาก็ว่า รักเขายิ่งกว่าตัวเรา เหมือนพระโพธิสัตว์รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว รวมกันแล้วก็คือการรักผู้อื่น
เพราะว่าทุกศาสนาต้องการจะกำจัดความเห็นแก่ตัว จึงได้สอนให้รักผู้อื่น เมื่อรักผู้อื่นก็กำจัดแห่งความเห็นแก่ตัวอยู่โดยอัตโนมัติ
สำหรับพุทธบริษัทชาวไทยเรานั้นได้รับการอบรมสั่งสอนมาตลอดเวลาว่า ให้ให้ทาน ให้รักษาศิล ให้เจริญเมตตาภาวนาอยู่เป็นนิจ คอยสนใจคำว่า "เมตตาภาวนา" ให้เจริญเมตตาภาวนาอยู่เป็นนิจ ด้วยทำจิตประกอบไปด้วยเมตตารักใคร่ผู้อื่น สัตว์อื่น ถึงกับว่าสัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ให้ทานสงเคราะห์ผู้อื่น รักผู้อื่น รักษาศิล ก็คือไม่กระทบกระทั่งผู้อื่น ก็เพราะรักผู้อื่น
ยิ่งเมื่อมีความรักผู้อื่นอยู่แล้ว มันก็เป็นความปฏิบัติกฏทุกหัวข้อหรือทุกแง่ทุกมุม มีความรักผู้อื่นอยู่เป็นนิจจนเป็นนิสัยของคนไทยที่เรียกว่า เป็นคนยิ้ม เมืองแห่งคนยิ้ม ยิ้มเพราะเมตตารักใคร่ซึ่งกันและกันจะเป็นแขกแปลกหน้ามาหรือว่าเป็นคนกันเองในบ้านเดียวกันก็ยิ้มเสมอ ไทยเราได้รับการอบรมอย่างนี้ จึงเกิดมีนิสัยยิ้มเสมอ...
เกิดเป็นธรรมเนียมขึ้นมาเองว่า ถ้าใครมีเงินเหลือใช้จะสร้างวัดแม้แต่สร้างวัดให้เด็กๆ เขาวิ่งเล่นมันก็เพื่อความรักผู้อื่น ถ้ามีเงินเหลือใช้ก็ไปสร้างศาลาเป็นทาน ให้การพักผ่อนแก่คนเดินทาง
เมื่ออาตมาเป็นเด็กยังเคยเห็นศาลาชนิดนี้บางแห่งมีข้าวสารมีปลาแห้งมีอะไรไว้ครบถ้วน ที่เรียกว่าผู้ที่ร่ำรวยแล้วมีเงินเหลือก็สร้างวัด ไม่ได้เอามาสร้างสถานอาบอบนวด หรือกิจกรรมอบายมุขอันใหญ่โตมโหราฬอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่แหละคือนิสัยสันดานแห่งความรักผู้อื่นของคนไทยเรา
ความสนใจความที่คนไทยเรามีความรักผู้อื่นอยู่ในสายเลือด เพราะมีพระพุทธศาสนาอยู่ในสายเลือด จะมีธรรมะอยู่ในพระพุทธศาสนาที่ว่า ให้มันรักผู้อื่น มีการรักผู้อื่นเป็นรากฐานของศิลธรรมทั้งปวง...
คำว่ารักผู้อื่น เพียงคำเดียวเท่านั้นแหละพอ มันพอมันพอเป็นทุกอย่างทุกประการในการที่จะแก้ปัญหาอันเกี่ยวกับสันติสุข และสันติภาพของคนเรา รักผู้อื่นคำเดียวมันก็ทำให้มีศิลห้าบริสุทธิ์
เมื่อรักผู้อื่นและจะไปฆ่าไปทำอันตรายเขาได้อย่างไร มันทำไม่ได้ ศิลข้อที่ 1 ก็สมบูรณ์
เมื่อรักผู้อื่นแล้วจะไปขโมยหลอกลวง ยักยอกเขาได้อย่างไร ศิลข้อ 2 ก็สมบูรณ์
เมื่อรักผู้อื่นแล้วไปประพฤติผิดในกามล่วงละเมิดของรักของใคร่ของผู้อื่นได้อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ ศิลข้อ 3 ก็สมบูรณ์
เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไปโกหกหลอกลวงเค้าไม่ได้ ศิลข้อ 4 ก็สมบูรณ์
เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไม่ไปดื่มกินของเมาที่เป็นที่ตั้งแห่งการประทุษร้ายผู้อื่นก็เลิกกินของเมา ศิลข้อ 5 บริสุทธิ์บริบูรณ์ตามที่เป็นปรารถนา
เดี๋ยวนี้รับศิลห้า กันเท่าไรเท่าไรศิลห้ามันก็ไม่บริบูรณ์ไม่เกิดขึ้นได้ซ้ำไปเพราะมันไม่มีการรักผู้อื่นเป็นต้นทุน
คือขอให้นึกถึงคำว่ารักผู้อื่น เป็นศิลข้อเดียว แล้วก็จะทำให้ศิลห้าข้อสิบข้อหรือกี่ร้อยข้อบริบูรณ์ได้ ลองคิดดู
เมื่อรักผู้อื่นแล้ว ก็จะมีส่วนเกินคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่ใช้เกิน กินเกิน เพื่อเป็นเหตุให้มีส่วนเกิน แล้วเราไปช่วยเหลือผู้อื่น
เดี๋ยวนี้เราเกือบไม่มีใครที่นึกถึงผู้อื่นและไม่จัดเตรียมส่วนเกินไว้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อรักผู้อื่นแล้วกระทำคอรัปชันไม่ได้ ทำคอรัปชันนี้ต้องเป็นการเสียหายแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
รักผู้อื่นแล้วก็เป็นอันธพาลไม่ได้ อันธพาลเต็มไปทั่วบ้านทั่วเมืองกลางวันแสกๆ ในนครหลวงก็ยังมีอันธพาล ทารุณโหดร้ายเหลือประมาณ อย่างน่าขยะแขยง นี่ก็เพราะว่ามันไม่มีความรู้สึกที่รักผู้อื่นไม่เคยรักเพื่อนมนุษย์กันเลย
เมื่อรักผู้อื่นแล้วเราก็ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที สามัคคีกันเป็นอย่างยิ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีความสัตย์ซื่อต่อกันและกันเลยเพราะมันไม่เคยรักใคร
พุทธทาสภิกขุ