|
หนังสือ "ตัวสอนตน"
|
กลัวตาย หรือ กลัวเกิด |
มนุษย์ สัตว์ทุกตัวตนเมื่อเกิดมาแล้วย่อมตายเป็นธรรมดา
หากแต่ว่าคนส่วนมากมักลืมว่าตัวเองต้องตาย เพราะว่าในชีวิตประจำวันของตนนั้นไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตาย
ยังรักในชีวิต ยังหลงมัวเมาอยู่กับความสุขในชีวิต ความสุขที่เป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา
ความสุขที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ มีอยู่เพียงสักพัก
แล้วก็ลับจางหายไป แล้วเราก็เกิดความทุกข์เมื่อความสุขมันไม่มี เราก็พยายามแสวงหาความสุขแบบจอมปลอมเช่นนั้นอีกโดยการไปเที่ยวตากอากาศ
ไปดูหนังดูภาพยนต์ ฟังเพลง กินอาหารอร่อย ๆ แพง ๆ เมื่อช่วงเวลาความสุขนั้นผ่านไป
เราก็ไปแสวงหาความสุขกันอีก วนเวียนกันไปเรื่อย ๆ จนลืมว่าเราจะตาย
เมื่อไม่รู้ว่าตัวจะตาย ก็กลัวความตาย กลัวว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวอีก
เกรงว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคนรัก เพื่อนรัก ลูกรัก แฟนรักอีก ความเป็นห่วงเป็นใย
ความรัก อาทร หวงห่วงเสน่หา ทำให้ไม่อยากตาย และก็กลัวความตาย
ตัวข้าพเจ้าไม่กลัวความตาย แต่ข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าตายแล้ว
ข้าพเจ้าจะไปไหน? นรก หรือ สวรรค์ กลัวในความไม่แน่นอนเนื่องจากข้าพเจ้าไม่รู้
นี่คือ อวิชชา
ข้าพเจ้ากลัวยิ่งกว่านั้นคือกลัวว่าจะไปเกิดอีก
และก็อีกนั่นแหละ อวิชชาที่ข้าพเจ้าหวั่นใจ คือความไม่รู้ว่า ข้าพเจ้าจะไปเกิดเป็นอะไร
พรหม เทพ เทวดา นางฟ้า กินรี กินนร พญานาค มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต
สัตว์นรก หรือ อสุรกาย
เมื่อข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอนาคตข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไร
เมื่อข้าพเจ้ามี อวิชชา คือความไม่รู้อยู่ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องกำจัดความไม่รู้ออกจากตัวให้หมดสิ้น
โดยค่อย ๆ กำจัดไปทีละน้อย ทีละนิด ทีละขั้น ทีละตอน จนกว่าจะมีปัญญาละอวิชชาออกได้หมด
ข้าพเจ้าทำอย่างไรเพื่อที่จะละความไม่รู้นี้? ข้าพเจ้าจึงต้องใช้วิธี
ทำให้รู้ ดูให้เข้าใจ และใช้ให้เป็น การให้รู้พื้นฐานข้าพเจ้าใช้วิธีเสพสาร
ข้อมูล จากการอ่านหนังสือบ้าง ตำราบ้าง จากการสอบถามผู้รู้บ้าง จากพระสงฆ์บ้างเพื่อที่ให้ข้าพเจ้าได้พอมีความรู้
หลังจากนั้นข้าพเจ้ารู้แล้วจึงทำความเข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนมาว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร
เป็นอย่างไร แปรผันไปตามเหตุปัจจัยอย่างไร และก็นำมาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ได้รู้เห็นจริงยิ่งขึ้น
เมื่อข้าพเจ้าได้ปฏิบัติได้ระยะหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าก็รู้ตัวว่า
ข้าพเจ้าไม่ต้องตกในทุกคติภูมิ คือ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือ สัตว์เดรัจฉาน
เพราะข้าพเจ้าไม่ทำผิดศีล ๕ ซึ่งได้แก่
๑. ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ทั้งปวง ทั้งเดรัจฉานและมนุษย์
๒. ละเว้นจากการลักทรัพย์ทั้งเล็กน้อย หรือ ใหญ่หลวง
๓. ละเว้นจากการประพฤติผิดในเมถุนกามกับผู้ในความดูแลของผู้อื่น
๔. ละเว้นจากการพูดปด พูดเท็จ พูดไม่จริง
๕. ละเว้นจากการดื่มสุรา เมรัย ของมึนเมาทั้งหลาย
และเมื่อข้าพเจ้ารักษาศีล ๕ บริสุทธิ์แล้ว ข้าพเจ้าก็พยายามจะพัฒนาตัวให้ดีกว่านี้โดยการเจริญพรหมวิหาร
๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพื่อที่จะได้เป็นพรหมในอนาคตกาล
๑. เมตตา คือ ความรักใคร่ คิดปารถนาอยากให้ผู้อื่นเป็นสุข
๒. กรุณา คือ ความสงสาร คิดอยากช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
๓. มุทิตา คือ ความพลอยยินดี พอใจเมื่อผู้อื่นได้ดี
๔. อุเบกขา คือ การวางใจเป็นกลาง วางเฉย ไม่ยินดี ยินร้าย เมื่อผู้อื่นเป็นทุกข์
แม้ว่าจะประพฤติได้ทั้งหมดนี้แล้วก็ยังไม่สามารถหลุดจากวัฏสงสารได้
ยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไปเรื่อย ๆ และนี่แหละที่ข้าพเจ้ากลัว
|
|