(๑) กัลยาณมิตตตา
( ความมีกัลยาณมิตร คือ มีผู้แนะนำสั่งสอน
ที่ปรึกษาเพื่อนที่คบหา และบุคคลผู้แวดล้อมที่ดี, ความรู้จักเลือกเสวนาบุคคล
หรือเข้าร่วมหมู่กับท่านผู้ทรงคุณทรงปัญญามีความสามารถ
ซึ่งจะช่วยแวดล้อม สนับสนุนชักจูง ชี้ช่องทาง เป็นแบบอย่าง
ตลอดจนเป็นเครื่องอุดหนุนเกื้อกูลแก่กัน ให้ดำเนินก้าวหน้าไปด้วยดี
ในการศึกษาอบรม การครองชีวิต การประกอบกิจการ และธรรมปฏิบัติ,
สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดี - having
good friend; good company; friendship with the lovely;
favorable social environment) ข้อนี้เป็น องค์ประกอบภายนอก (internal
factor; environmental factor)
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิตฉันใด ความมีกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค แก่ภิกษุ
ฉันนั้น”
“ความมีกัลยาณมิตร เท่ากับเป็นพรหมจรรย์
(การครองชีวิตประเสริฐ) ทั้งหมดทีเดียว เพราะว่า ผู้มีกัลยาณมิตรพึงหวังสิ่งนี้ได้
คือ จักเจริญ จักทำให้มากซึ่งอารยอัษฎางคิกมรรค”
“อาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร
เหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ก็พ้นจากชาติผู้มีชราเป็นธรรมดา
ก็พ้นจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ก็พ้นจากมรณะ ผู้มีโสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา ก็พ้นจากโสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส”
“เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายนอกอื่นแม้สักอย่างเดียว
ที่มีประโยชน์มากสำหรับภิกษุผู้เป็นเสขะ เหมือนความมีกัลยาณมิตร,
ภิกษุผู้มีกัลยาณมิตร ย่อมกำจัดอกุศลได้ และย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้น”
“ความมีกัลยาณมิตร ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่,
เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม”
ฯลฯ
S.V.2-30; A.I.14-18;
It.10. สํ.ม.๑๙/๕-๑๒๙/๒-๓๖; องฺ.เอก.๒๐/๗๒-๑๒๘/๑๖-๒๕;
ขุ.อิติ. ๒๕/๑๙๕/๒๓๗
(๒)
โยนิโสมนสิการ (การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า
สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดยอุบายวิธีให้เห็นสิ่งนั้น
ๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย
— reasoned attention: systematic attention; analytical thinking; critical
reflection; thinking in terms of specific conditionality;
thinking by way of causal relations or by way of problem—solving)
และเป็น ฝ่ายปัญญา (a
factor belonging to the category of insight or wisdom)
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิต ฉันใด ความถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ
ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค
แก่ภิกษุ ฉันนั้น”
“เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายในอื่นแม้สักอย่างเดียว
ที่มีประโยชน์มากสำหรับภิกษุผู้เป็นเสขะ เหมือนโยนิโสมนสิการ
ภิกษุผู้มีโยนิโสมนสิการ ย่อมกำจัดอกุศลได้ และย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้น”
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น
แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สัมมาทิฏฐิที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น
ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น เหมือนโยนิโสมนสิการเลย”
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น
แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ความสงสัยที่ยังไม่เกิด
ก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถูกขจัดเสียได้ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย”
“โยนิโสมนสิการ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่,
เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม”
ฯลฯ
ธรรมข้ออื่น
ที่ได้รับยกย่องคล้ายกับโยนิโสมนสิการนี้ ในบางแง่ ได้แก่
อัปปมาทะ (ความไม่ประมาท —
earnestness; diligence), วิริยารัมภะ (การปรารภความเพียร, ทำความเพียรมุ่งมั่น — instigation of energy; energetic effort), อัปปิจฉตา (ความมักน้อย, ไม่เห็นแก่ได้ — fewness of wishes; paucity of selfish desire), สันตุฏฐี (ความสันโดษ — contentment), สัมปชัญญะ (ความรู้ตัว, สำนึกตระหนักชัดด้วยปัญญา — awareness; full comprehension); กุสลธัมมานุโยค (การหมั่นประกอบกุศลธรรม — pursuit of virtue); ฉันทสัมปทา
(ความถึงพร้อมแห่งฉันทะ — possession of will), อัตตสัมปทา (ความถึงพร้อมแห่งตนคือมีจิตใจซึ่งพัฒนาเต็มที่แล้ว
— self-possession; self-realization), ทิฏฐิสัมปทา (ความถึงพร้อมแห่งทิฏฐิ — possession of right view), และ อัปปมาทสัมปทา (ความถึงพร้อมแห่งอัปปมาทะ — possession of earnestness)
S.V.2-30; A.I.11-31;
It.9. สํ.ม.๑๙/๕-๑๒๙/๒-๓๖; องฺ.เอก.๒๐/๖๐-๑๘๖/๑๓-๔๑;
ขุ.อิติ. ๒๕/๑๙๔/๒๓๖
(๓) อัปปมาทะ (ความไม่ประมาท คือ ความเป็นอยู่อย่างไม่ขาดสติ หรือ ความเพียรที่มีสติเป็นเครื่องเร่งเร้าและควบคุม
ได้แก่ การดำเนินชีวิตโดยมีสติเป็นเครื่องกำกับความประพฤติปฏิบัติและการกระทำทุกอย่าง
ระมัดระวังตัว ไม่ยอมถลำไปในทางเสื่อม แต่ไม่ยอมพลาดโอกาสสำหรับความดีงามและความอันจะต้องรับผิดชอบ
ไม่ยอมปล่อยปละละเลย การทำการด้วยความจริงจัง รอบคอบและรุดหน้าเรื่อยไป
— earnestness; diligence; heedfulness) ข้อนี้เป็น องค์ประกอบภายใน (internal factor; personal
factor) และเป็น ฝ่ายสมาธิ
(a factor belonging to the category of concentration)
“ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อนเป็นบุพนิมิต
ฉันใด ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค
แก่ภิกษุ ฉันนั้น”
“ธรรมเอก ที่มีอุปการะมาก
เพื่อการเกิดขึ้นแห่งอารยอัษฎางคิกมรรคที่ยังไม่เกิด
ก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เจริญบริบูรณ์ เหมือนอย่างความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทนี้เลย”
“รอยเท้าของสัตว์บกทั้งหลาย
ชนิดใด ๆ ก็ตาม ย่อมลงในรอยเท้าช้างได้ทั้งหมด, รอยเท้าช้าง
เรียกว่าเป็นยอดของรอยเท้าเหล่านั้น โดยความใหญ่ ฉันใด
กุศลธรรมทั้งหลายอย่างใดๆ ก็ตาม ย่อมมีความไม่ประมาทเป็นมูล
ประชุมลงในความไม่ประมาทได้ทั้งหมด ความไม่ประมาท
เรียกได้ว่าเป็นยอดของธรรมเหล่านั้นฉันนั้น”
“ผู้มีกัลยาณมิตร พึงเป็นอยู่โดยอาศัยธรรมเอกข้อนี้
คือ ความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย”
“ธรรมเอกอันจะทำให้ยึดเอาประโยชน์ไว้ได้ทั้ง
๒ อย่าง คือ ทั้งทิฏฐธัมมิกัตถะ (ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์เฉพาะหน้า
หรือประโยชน์สามัญของชีวิต เช่น ทรัพย์ ยศ กามสุข เป็นต้น)
และสัมปรายิกัตถะ (ประโยชน์เบื้องหน้าหรือประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไปทางจิตใจหรือคุณธรรม)
ก็คือความไม่ประมาท”
“สังขาร (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
ทั้งหลาย มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ที่มุ่งหมายให้สำเร็จ
ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
“ความไม่ประมาท ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่,
เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม”
ฯลฯ
D.II.156; S.I.86-89;
S.V.30-45; A.I.11-17; A.III.365; A.V.21
ที.ม.๑๐/๑๔๓/๑๘๐; สํ.ส.๑๕/๓๗๘-๓๘๔/๑๒๕-๑๒๙; สํ.ม.๑๙/๑๓๕-๒๖๒/๓๗-๖๖;
องฺ.เอก.๒๐/๖๐-๑๑๖/๑๓-๒๓; อํ.ฉกฺก.๒๒/๓๒๔/๔๐๗; องฺ.ทสก.๒๔/๑๕/๒๓
|